เคราะห์กรรมมิอาจย่ำยี
พระไพศาล วิสาโล
ไม่มีรัฐบุรุษหรือประมุขประเทศคนใดในโลกยุคใหม่(หรืออาจรวมถึงโลกยุคเก่าด้วย)ที่เคยติดคุกนานเท่ากับเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ที่เพิ่งจากไป
พระไพศาล วิสาโล
ไม่มีรัฐบุรุษหรือประมุขประเทศคนใดในโลกยุคใหม่(หรืออาจรวมถึงโลกยุคเก่าด้วย)ที่เคยติดคุกนานเท่ากับเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ที่เพิ่งจากไป
๒๗ ปีในเรือนจำอุกฉกรรจ์นั้นนานเกือบเท่าครึ่งชีวิตของคนส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา แมนเดลาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตในวัย ๔๕ ปีขณะที่ลูกสองคนซึ่งเกิดจากภรรยาคนที่สองยังเล็กมาก ตลอดเวลาดังกล่าวเขาแทบไม่ได้เห็นหน้าลูกเลย อีกทั้งยังไม่สามารถไปร่วมงานศพของแม่และลูกชายคนโตได้ ยังไม่ต้องพูดถึงการถูกกระทำอย่างไร้ความปรานีจากผู้คุม การถูกใช้งานหนัก และการถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแทบจะสิ้นเชิง
ใครที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ จิตใจคงบอบช้ำย่ำแย่และกราดเกรี้ยวกับชีวิต แต่เมนเดลาหาเป็นเช่นนั้นไม่ เขาเคยพูดติดตลกเมื่อย้อนนึกถึงประสบการณ์ช่วงนั้นว่า “ผมไปเที่ยววันหยุดยาวถึง ๒๗ ปี” เคยมีคนถามเขาว่า คุกเปลี่ยนแปลงเขาอย่างไรบ้าง เขาตอบว่า “ผมออกมาโดยมีวุฒิภาวะมากขึ้น”
เพื่อนที่รู้จักแมนเดลาก่อนติดคุกพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก นิสัยเจ้าอารมณ์ ก้าวร้าว อมทุกข์และหยิ่งยะโสในวัยหนุ่มของเขานั้น ได้หายไป เมื่อออกจากคุก เขากลับเป็นคนที่นิ่มนวล อ่อนโยน อบอุ่น และมีรอยยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี “บุคลิกของเขางอกงามเปลี่ยนไปจากเดิม เขาอบอุ่นกับทุกคน” เพื่อนสนิทคนหนึ่งพูดถึงเขา แทนที่จะมีความขมขื่น เขากลับเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แทนที่จะอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง เขากลับมีเมตตา พร้อมที่จะให้อภัยทุกคนแม้กระทั่งคนที่เคยทำร้ายเขา คุณสมบัติเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากเมื่อเขาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เพราะทำให้นโยบายปรองดองของเขาสัมฤทธิ์ผล แอฟริกาใต้สามารถหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมือง ขณะที่การถ่ายโอนอำนาจจากคนขาวซึ่งเป็นคนส่วนน้อยมาสู่คนผิวดำเป็นไปได้อย่างสันติ
คุกไม่ได้บั่นทอนอุดมการณ์ของเขาให้อ่อนแรงลงเลย หากยังเปิดโอกาสให้เขาได้หยุดคิดและไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง นอกจากเรื่องของบ้านเมืองแล้ว เขายังได้เรียนรู้จิตใจของผู้คนและเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น การได้ใกล้ชิดกับผู้คุมซึ่งล้วนเป็นคนขาว ช่วยให้เขารับรู้ถึงความกลัวของพวกเขา เข้าใจพวกเขามากขึ้น จึงมีความเกลียดชังน้อยลง และพร้อมจะให้อภัยต่อพฤติกรรมที่ก้าวร้าวของพวกเขา
แมนเดลาพบว่าผู้คุมเหล่านี้หลายคนเป็นเด็กกำพร้า เกือบทั้งหมดมาจากครอบครัวที่ยากจน ตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม อีกทั้งได้รับการอบรมสั่งสอนในระบบเหยียดผิว จึงมองเห็นคนดำว่าต่ำต้อยและชั่วร้าย แต่ในส่วนลึกของคนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะเห็นอกเห็นใจคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อน
แมนเดลาได้เรียนรู้จากในคุกว่าคนทุกคนนั้นล้วนมีความดีอยู่ในจิตใจ คนหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดของเขามากก็คือ พันเอกเพียท บาเดนโฮสต์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้บัญชาการเรือนจำที่โหดเหี้ยมที่สุด แมนเดลาได้ท้าทายอำนาจของเขาหลายครั้งและถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เมื่อถึงวันที่เขาอำลาจากเกาะนี้เพื่อไปรับหน้าที่ใหม่ บาเดนโฮสต์ได้หันมาพูดกับพวกเขาว่า “ผมขอให้พวกคุณโชคดี” เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคำพูดเช่นนี้จะออกมาจากปากของคนที่โหดร้ายอย่างบาเดนโฮสต์ได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ตอกย้ำความเชื่อของเขาว่า แม้กระทั่งคนชั่วก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะว่าไปแล้วคนอย่างบาเดนโฮสต์ก็มีความดีอยู่ในตัว แต่ที่เขา “ทำตัวเหมือนคนโหดร้ายก็เพราะเขาได้รับรางวัลจากการกระทำที่โหดร้าย”
ประสบการณ์เหล่านี้สอนให้เขาเชื่อในความดีของมนุษย์ทุกคน และพยายามดึงเอาส่วนดีที่สุดของผู้คนออกมา เขาเคยพูดว่า “อย่าพูดด้วยเหตุผล จงพูดด้วยหัวใจ” เพราะการพูดด้วยหัวใจนี้แหละสามารถสื่อสัมผัสตรงถึงความดีในใจของเขาได้ ในทำนองเดียวกัน ด้วยความเชื่อดังกล่าว เขาจึงเห็นว่าท่าทีที่สุภาพ อ่อนโยน รวมทั้งการแสดงไมตรีจิต สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนที่ดุร้ายก้าวร้าวได้ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาพบว่าท่าทีดังกล่าวสามารถชนะใจผู้คุมที่หยาบกระด้าง ยิ่งเขาหันมาเรียนภาษาของคนเหล่านั้น (คนขาวกับคนดำในแอฟริกาใต้พูดคนละภาษา) ศึกษาวรรณกรรมของคนขาวรวมทั้งรักบี้ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของคนขาว จนเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนขาว เขาก็สามารถเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้
อย่างไรก็ตามทักษะสำคัญที่เขาเรียนรู้ระหว่างติดคุกนั้นได้มาจากการอยู่ร่วมกับคนดำด้วยกัน โดยเฉพาะที่เกาะรอบเบินนั้นมีนักโทษจากกลุ่มการเมืองหลายกลุ่มมาอยู่ด้วยกัน นอกจากคนดำจากสมัชชาแห่งชาติแอฟริกัน(African National Congress) ซึ่งสนับสนุนการอยู่ร่วมกันระหว่างสีผิวต่าง ๆ แล้ว ยังมีคนดำที่ปฏิเสธการอยู่ร่วมกับคนขาว และคนที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์ นอกจากความเห็นจะแตกต่างกันมากแล้ว วัยก็แตกต่างกันด้วย กล่าวคือสองกลุ่มหลังเป็นคนหนุ่มที่ใจร้อนอารมณ์แรง บางช่วงขัดแย้งกันมากถึงกับใช้อาวุธทำร้ายกันในคุก แมนเดลาตระหนักดีว่าความสามัคคีกันระหว่างคนดำเป็นสิ่งสำคัญทั้งในคุกและนอกคุก เขาจึงพยายามประสานคนเหล่านั้นให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ที่นั่นเขาได้เรียนรู้ว่าการชักชวนด้วยท่าทีที่นุ่มนวล ใช้น้ำเย็นเข้าลูบนั้น ดีกว่าการใช้ท่าทีที่แข็งกร้าว
คุกจึงเป็นสถานที่ที่แมนเดลาได้พัฒนาทักษะในการสมานไมตรีและสร้างความปรองดอง ได้เรียนรู้วิธีการผูกสัมพันธ์กับคนทุกประเภทและดึงมาเป็นพวก ทักษะเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่เขามากเมื่อได้รับอิสรภาพ นอกจากเขาจะเป็นแกนนำในการสร้างแนวร่วมระหว่างคนดำกลุ่มต่าง ๆ จนสามารถนำพา ANC ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นแล้ว เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดี ก็สามารถผลักดันนโยบายคืนดีให้เป็นผลสำเร็จ
คุกจึงเป็นสถานที่ที่แมนเดลาได้พัฒนาทักษะในการสมานไมตรีและสร้างความปรองดอง ได้เรียนรู้วิธีการผูกสัมพันธ์กับคนทุกประเภทและดึงมาเป็นพวก ทักษะเหล่านี้เป็นประโยชน์แก่เขามากเมื่อได้รับอิสรภาพ นอกจากเขาจะเป็นแกนนำในการสร้างแนวร่วมระหว่างคนดำกลุ่มต่าง ๆ จนสามารถนำพา ANC ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นแล้ว เมื่อเขาได้เป็นประธานาธิบดี ก็สามารถผลักดันนโยบายคืนดีให้เป็นผลสำเร็จ
อย่างไรก็ตามทักษะเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากเขาละเลยสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือ การจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ในคุกเขาเรียนรู้ที่จะเก็บความโกรธไม่ให้แสดงออกมา เพื่อรักษาท่าทีที่เป็นมิตร เขายังได้พบว่าการกดข่มความโกรธช่วยให้เขาคิดชัดเจนขึ้น ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ แมนเดลาเคยกล่าวว่า “เมื่อเจอสถานการณ์(ที่ยั่วยุหรือเป็นปัญหา) เราต้องการการคิดที่ชัดเจน แน่นอนว่าคุณจะคิดได้ชัดเจนขึ้นหากคุณใจเย็น มั่นคง ไม่ว้าวุ่น ทันทีที่คุณว้าวุ่น คุณอาจทำผิดอย่างร้ายแรง” คุกสอนให้เขารู้ว่า ควร “คิดด้วยสมอง ไม่ใช่ด้วยเลือด” การครุ่นคิดด้วยใจสงบ ไม่ให้ความโกรธเกลียดเคียดแค้นมาครอบงำ ช่วยให้เขาเห็นแจ่มชัดว่า การเจรจากับคนขาวคือทางออกของประเทศ ไม่ใช่การจับอาวุธต่อสู้ด้วยอาวุธดังที่เขาเคยเชื่อ การบรรลุข้อตกลงร่วมกันของคนในชาติเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้คนดำมีสิทธิมีเสียงเป็นเจ้าของประเทศโดยปราศจากการนองเลือด ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำทุกอย่างเพื่อสร้างความปรองดองระหว่างคนต่างผิว ไม่ว่าการหยิบยื่นไมตรีแก่ผู้ที่เคยเป็นศัตรูหรือการให้อภัย แม้จะต้องเก็บความแค้นเคืองปวดร้าวไว้ในใจก็ต้องทำเพื่ออนาคตของประเทศ
ที่สำคัญก็คือเขาไม่มัวปล่อยใจให้จมอยู่กับความทุกข์ แทนที่จะขมขื่นกับชะตากรรมอันเลวร้าย เขากลับใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ “มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สูญเสียวันเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตไป แต่คุณได้เรียนรู้มากมาย คุณมีเวลาครุ่นคิด ยืนห่างจากตัวเอง มองตัวเองจากระยะไกล เพื่อเห็นความขัดแย้งในตัวเอง”
ด้วยวัย ๗๒ แมนเดลาออกจากคุกที่จองจำเขาเกือบครึ่งชีวิตโดยปราศจากความขมขื่น สีหน้ายิ้มแย้ม แถมมีอารมณ์ขัน สามารถหยอกเย้าชะตากรรมอันเลวร้ายในอดีต และมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง ด้วยศรัทธาในความดีของมนุษย์ทุกคน เมื่อเขาได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศ สิ่งแรก ๆ ที่เขาทำก็คือ เยี่ยมเยือนเพื่อแสดงการให้อภัยแก่ผู้ที่เคยทำร้ายเขา อาทิ อัยการที่เคยฟ้องเขาจนเป็นเหตุให้ติดคุก อดีตประธานาธิบดีโบทาที่เคยมองเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ รวมทั้งแต่งตั้งผู้บัญชาการเรือนจำที่เคยโหดร้ายกับเขาให้เป็นทูตประจำออสเตรีย
ด้วยวัย ๗๒ แมนเดลาออกจากคุกที่จองจำเขาเกือบครึ่งชีวิตโดยปราศจากความขมขื่น สีหน้ายิ้มแย้ม แถมมีอารมณ์ขัน สามารถหยอกเย้าชะตากรรมอันเลวร้ายในอดีต และมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง ด้วยศรัทธาในความดีของมนุษย์ทุกคน เมื่อเขาได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศ สิ่งแรก ๆ ที่เขาทำก็คือ เยี่ยมเยือนเพื่อแสดงการให้อภัยแก่ผู้ที่เคยทำร้ายเขา อาทิ อัยการที่เคยฟ้องเขาจนเป็นเหตุให้ติดคุก อดีตประธานาธิบดีโบทาที่เคยมองเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ รวมทั้งแต่งตั้งผู้บัญชาการเรือนจำที่เคยโหดร้ายกับเขาให้เป็นทูตประจำออสเตรีย
ชีวิตของแมนเดลานั้นเหมือนนิยาย จากนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ถูกขังอย่างไร้อนาคตจนโลกเกือบลืม กลับกลายมาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศซึ่งคนทั้งโลกยกย่องให้เป็นไอดอล แต่ที่อัศจรรย์ไม่แพ้กันก็คือ จากคนหนุ่มเลือดร้อน อ่อนไหว ขมขื่นและหยิ่งยะโส เมื่อออกจากคุกที่เลวร้ายดังนรก กลับกลายเป็นคนแก่ที่เข้มแข็ง ถ่อมตน มีอารมณ์ขัน และเปี่ยมด้วยเมตตา นับเป็นแบบอย่างของผู้ที่ไม่ยอมปล่อยให้เคราะห์กรรมกระทำย่ำยีจนชีวิตตกต่ำย่ำแย่ แต่กลับเป็นนายเหนือมัน สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์จนนำพาชีวิตสู่ความเจริญงอกงาม
แมนเดลาเคยกล่าวว่า บทกวีที่เขาให้แรงบันดาลใจแก่เขาอย่างมากก็คือ “ฉันคือผู้บงการชะตาชีวิตของฉันเอง ฉันคือผู้นำพาดวงวิญญาณของฉัน” สำหรับผู้คนจำนวนไม่น้อย ชีวิตของเขาก็ให้แรงบันดาลใจไม่ยิ่งหย่อนกว่าบทกวีดังกล่าว
ที่มา...นิตยสารสารคดี : ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๓๕๐ เมษายน ๒๕๕๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น