วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พาหิยะ ผู้ละจากความลวง



บุรุษผู้มีนามว่า "พาหิยะ" กำลังอยู่ในวัยหนุ่มเต็มไปด้วยพละกำลังที่จะทำสิ่งต่างๆมากมาย เขาเลือกอาชีพค้าขายเพราะคิดว่ามันคงทำเงินให้เป็นกอบเป็นกำ ในท่ามกลางคนรุ่นเดียวกัน พาหิยะแลดูฉลาดและโดดเด่นกวาเพื่อน มีความกล้าหาญ ชอบผจญภัย




ความคิดใหม่ๆเกิดขึ้นในหัวตลอดเวลา
เหมือนมีเสียงลึกลับเรียกร้องอยู่ในหัวตลอดเวลา ว่าต้องการให้เขาออกไปเผชิญโลกกว้าง พาหิยะจึงลงทุนกว้านซื้อสินค้าหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นผ้า เครื่องเทศ เครื่องประดับ อาหารแห้งต่างๆ เขาขนสินค้าทั้งหมดลงใส่เรือ จุดมุ่งหมายในการเดินทางครั้งนี้คือดินแดน "สุวรรณภูมิ" เขาฝันว่าถ้าหากโชคดีขายสินค้าได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว ก็จะเอาเงินนั้นเลือกซื้อของ แปลกๆ ใหม่ ๆ จากสุวรรณภูมิกลับมาขายที่แคว้น พาหิยะบ้านเกิดของตัวเอง
พาหิยะกลาบลาพ่อแม่เพื่อขอพร แล้วการเดินทางอันน่าตื่นเต้นก็เริ่มขึ้น ทุกๆวันที่ผ่านไป มีแต่น้ำและท้องฟ้า จิตใจของเขาได้แต่วาดหวังถึงความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า
แต่อนิจจา ยังไม่ทันถึงจุดหมายปลายทางก็ได้เกิดพายุใหญ่
ท้องทะเลปั่นป่วนราวกับเป็นบ้า เรือสินค้าของ พาหิยะถูกคลื่นยักษ์ซัดจนอับปางลงท่ามกลางมหาสมุทร หมู่ชนที่ร่วมเดินทางมาในเรือนั้นไม่มีผู้ใดรอดชีวิต เว้นเขาแต่เพียงผู้เดียว
พาหิยะ เกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่ง แหวกว่ายอยู่กลางทะเลนานถึง๗วัน เมื่อฟื้นคืนสติอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง ผ้านุ่งผ้าห่ม ที่พันกายได้หลุดหายไปจนหมด เขารอจนกระทั่งพลบค่ำจึงหาใบไม้แถวๆนั้น ปิดบังกายแล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้าน รุ่งเช้าค้นได้เศษกระเบื้องพอได้เป็นภาชนะ เที่ยวเดินขออาหารตามบ้านต่าง ๆ เพื่อยังชีพ
ชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อเห็นพาหิยะ ปราศจากผ้านุ่งผ้าห่มเช่นนั้น อีกทั้งไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากใหน อยู่ดีๆ ก็ปรากฎกายขึ้นในหมู่บ้าน จึงพูดกันปากต่อปากว่า ชะรอยท่านผู้นี้จะเป็นผู้ที่หมดความต้องการใด ๆในโลกแล้ว เป็นผู้ที่รักความสันโดษ มักน้อยและปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์จริง ๆน่าจะถึงขั้นเป็นพระอรหันต์
พวกเขาพากันให้อาหาร และติดตามดูกระทั่งรู้ว่าพักอยู่ข้างเทวสถาน จึงพากันปัดกวาดที่นั่นให้สะอาดแล้วเชิญ พาหิยะเข้าพัก พวกนำอาหารและผ้านุ่งผ้าห่มมามอบให้มาากมาย
ด้วยความเป็นคนฉลาด พาหิยะคิดว่า ถ้าหากเราไม่ได้อยู่ด้วยอาการเปลือย ๆ อย่างนี้จะมีหรือคนพวกนี้จะศรัทธา ตอนนี้ทรัพย์สมบัติอะไรก็ไม่มี ร่างกายก็ต้องการอาหารเพื่อฟื้นฟูร่างกายสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องการกลับบ้านเกิด
เขาลวงคนในที่นั้นด้วยการเอื้อนเอ่ยวาจาอันน่าเชื่อถือ ว่าเรานั้นปราศจากความต้องการในสิ่งใด แม้แต่ผ้านุ่งผ้าห่ม ขอเพียงอาหารสำหรับยังชีพก็พอ คนทั้งหลายพอได้ฟังยิ่งบังเกิดความเลื่อมใสเป็นล้นพ้น พากันนำสิ่งของ
เครื่องใช้มาทำการสักการะบูชาจนล้นหลามไปหมด
แรก ๆ นั้น การกล่าวลวงเป็นไปเพื่อให้ได้อาหารยังชีพ แต่ต่อมาการทำตนที่แปลกประหลาด กลับทำให้ได้สถานภาพพิเศษ ซึ่งสูงส่งกว่าคนทั่วไป ใคร ๆ ก็กราบไหว้ยกย่องสรรเสริญ
นานวันเข้า พาหิยะเริ่มคุ้นชิน เขาไม่ได้นึกถึงการกลับบ้านเกิดและการค้าขายอีกต่อไป หากมีความเชื่ออย่างแนบแน่นว่า เขานี่แหละเป็นพระอรหันต์ผู้โปรดสัตว์แท้ๆเชียว
ความจริงแล้วในอดีตชาตินั้น พาหิยะเคยเป็นผู้สร้างสมบารมีไว้มาก แม้ตัวเขาเองจะยังไม่ได้มรรคผลอะไร แต่ดวงจิตก็กล้าแกร่งจวนเจียน เขาเสียชีวิตลงในขณะปฏิบัติสมณธรรม เพื่อนผู้หนึ่งที่ปฏิบัติพร้อมกันได้ไปบังเกิดที่สุทธาวาสพรหมด้วยอนาคามีผล เมื่อพระพรหมท่านนี้แลลงมาเห็นเพื่อนรักที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์หากินด้วยการลวงโลกเช่นนี้ ก็บังเกิดความสงสาร
"เพราะความไม่รู้อันเป็นอวิชชาแท้ ๆ เราควรจะเห็นผู้ไปบอกให้พาหิยะรู้ว่ามีพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วจริง ๆ
นโลก เขาจะได้สลดใจ" คิดดังนี้แล้ว ก็ลงจากพรหมโลกมาปรากฏกายหน้าที่อยู่ของพาหิยะมีแสงสว่างเจิดจ้ามากที่ข้างนอก จนกระทั่งสาดส่องเข้ามาในที่อยู่ของตนพาหิยะเดินออกมาดูด้วยความสงสัย พอแลเห็นมหาพรหมก็ตกใจใน รัสมีที่เปล่งประกายประนมมือขึ้นถามออกไปว่า"ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใครมาจากใหน""ข้าพเจ้าเป็นสหายเก่าของท่าน เราเคยบำเพ็ญสมญธรรมร่วมกันทั้งหมด๗คนที่ภูเขาแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าสำเร็จอนาคามีผล บังเกิดอยู่ในพรหมโลกเหตุที่มานี่ก็เพราะเห็นท่านมีชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวง พาหิยะ ท่านน่ะมิใช่พระอรหันต์อีกทั้งไม่มีปฏิปทาแม้สักนิดที่จะดำเนินไปตามทางของพระอรหันต์ ทางดำเนินที่จะเป็นพระอรหันต์นั้น ไม่มีอยู่ในตัวท่านเลย" พาหิยะตกตะลึง มหาพรหมนั้นยืนกล่าวอยู่กลางอากาศ เขาได้คิดว่าตัวเองทำกรรมหนักเสียแล้ว จึงคุกเข่าลงกล่าวว่า"ท่านมหาพรหม ถ้าเช่นนั้นในโลกนี้มีผู้ที่เป็นพระอรหันต์หรือดำเนินตามทางของพระอรหันต์หรือไม่ ท่านจงโปรดอนุเคราะห์บอกแก่ข้าพเจ้าเถิด""พาหิยะ บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าอุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์ และเป็นผู้ที่แสดงธรรมเพื่อให้บุคคลถึงความเป็นอรหันต์ด้วย ขณะนี้พระองค์ประทับอยู่ที่เมือง สาวัตถี ขอท่านจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด" กล่าวดังนั้นแล้วมหาพรหมก็หายวับจากไป ถ้อยคำของมหาพรหมในราตรีนั้น สร้างความสลดใจเป็นอันมากแก่พาหิยะ เขาได้สติมองเห็นตัวเองและชาวบ้านอยู่ในความลวงที่สร้างขึ้น เมื่อความจริงตระหนักแก่ใจเช่นนี้ เขาเฝ้าครุ่นคิดอยู่แต่หนทางที่จะพาไปสู่ความหลุดพ้น จึงตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองสาวัตถีในคืนนั้นทันที ตลอดทั้งคืน เขาไม่หยุดแวะพักในที่ใด จิดใจจดจ่ออยู่กับการที่จะได้พบพระบรมศาสดา พอรุ่งสางก็มาถึงมหาวิหาร เชตวัน ภิกษุรูปหนึ่งกำลังเดินจงกลมอยู่ พาหิยะตรงเข้าไปกราบเรียนถามว่า "ขณนี้ พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหนขอรับ" "พระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงสาวัตถีเพื่อบินฑบาตร ท่านมาจากที่ใด" เมื่อพาหิยะเล่าให้ฟังว่ามาจากท่าเรือ สุปปารกะ ด้วยการเดินทางในคืนเดียว ภิกษุท่านนั้นเหลือบแลเห็นเท้าที่แตกจนเลือดซึม ออกปากให้เขาหยุดพักเพื่อเอาน้ำมันทาที่เท้าแตกเสียก่อน เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับมาก็จะได้พบพระองค์แน่นอน แต่พาหิยะร้อนใจจนมิอาจรอ "พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าอันตรายแห่งชีวิตพระศาสดาหรือของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ไหน ข้าพเจ้าจึงเดินทางโดยไม่หยุดพักเลยทั้งคืน ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปพบพระศาสดาเสียก่อนแล้วจึงพักเหนื่อยขอรับ" กล่าวดังนี้แล้วก็ลาพระภิกษุรีบไปยังกรุงสาวัตถี เขาติดตามไปจนพบพระพุทธองค์ พาหิยะค่อย ๆย่อตัวลงอย่างนอบน้อมแต่แรกเห็น คลานเข้าไปกราบลงในระหว่างถนน จับข้อพระบาททั้งสองไว้จนแน่น กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอจงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์สุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานด้วยเถิดพระเจ้าข้า" "ดูก่อน พาหิยะ นี่ไม่ใช่เวลาแสดงธรรม ตถาคตกำลังบิณฑบาตอยู่" "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ขอพระองค์ทรงพระกรุณาแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์์ด้วยเถิด" พาหิยะเฝ้าอ้อนวอน พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามอีกเป็นครั้งที่สอง ทรงดำริว่า "พาหิยะนี้เมื่อเห็นเราแล้ว ร่างกายและจิตใจทั้งสิ้นเต็มไปด้วยความปิติท่วมท้นจนไม่มีที่ว่าง คนที่มีปิติแรงกล้าครอบงำนั้น ถึงได้ฟังธรรมก็ไม่อาจรู้แจ้งแทงตลอดได้ อีกทั้งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมางไกลจะให้เขาตั้งอยู่ในอุเบกขาเสียก่อน" เมื่อพาหิยะอ้อนวอนเป็นครั้งที่สามนั่นแหละ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงธรรมโดยนัยดังนี้
"ดูก่อนพาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่าเมื่อใดที่เห็น จงสักแต่เพียงว่าเห็นเมื่อได้ยิน จงสักแต่เพียงว่าได้ยินเมื่อทราบ (สัมผัสทางจมูก ลิ้น กาย ใจ ) จงสักแต่เพียงว่าทราบเมื่อรู้แจ้ง จงสักแต่เพียงว่ารู้แจ้งเมื่อนั้นเธอก็จะไม่มี เมื่อใดเธอไม่มี เมื่อนั้นเธอจะไม่ยึดติดในสิ่งนั้นเมื่อใดเธอไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เมื่อนั้นเธอจะไม่มีในโลกนี้ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้เป็นที่สุดแห่งทุกข์" ทันทีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมะจบ อาสวกิเลสทั้งปวงของ พาหิยะได้สิ้นไป ท่านบรรลุอรหันต์พร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา๔ แล้วกราบขอบรรพทันที แต่พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า "พาหิยะ บาตรและไตรจีวรของเธอมีพร้อมแล้วหรือ"ท่านพาหิยะกลาบทูลว่ายังไม่มี "ถ้าเช่นนั้น เธอจงแสวงหาให้พร้อมเสียก่อน" ตรัสดังนั้นแล้วจึงเสด็จหลีกไป เหตุที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงประทานการบรรพชาแก่ท่านพาหิยะด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา(คำเรียกภิกาษุที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า)นั้น เพราะทรงทราบด้วยพระญาณว่า บาตรและไตรจีวรที่จะสำเร็จขึ้นด้วยอำนาจบุญฤทธิ์จะไม่เกิดแก่ท่านพาหิยะ เพราะในอดีตชาติ ทุกๆชาติ ท่านไม่เคยสงเคราะห์พระภิกษุ สามเณรแม้สักรูปด้วยบาตรและจีวรเลย ขณะที่ท่านพาหิยะอรหันต์เจ้า กำลังเดินหาบาตรและจีวรอยู่นั้น โคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง ได้วิ่งตรงเข้าหาท่านอย่างมุ่งหมายเอาชึวิต ท่านเงยหน้าขึ้น ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นท่านรู้ได้ในเหตุผลแห่งอดีตชาติ ซึ่งเคยทำร้ายหญิงหนึ่งถึงแก่ชีวิต ท่านน้อมรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยใจอันสงบและปล่อยวาง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จกลับจากบิณฑบาต หลังจากทำภัตกิจเสร็จแล้ว พระองค์พร้อมภิกษุเป็นอันมาก เห็นร่างกายของท่านพาหิยะถูกทิ้งอยู่ข้างกองขยะ จึงทรงบัญชาให้นำร่างนั้นเผาเสีย รอคอยเก็บอัฐิธาตุแล้วสร้างสถูปขึ้นเพื่อบรรจุไว้เป็นที่เคารพ ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้กระทำตามนั้น เสร็จแล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลถามข้อสงสัยถึงเหตุที่ต้องสร้างสถูป และสัมปรายภพของท่านพาหิยะว่าเป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคทรงประกาศแต่งตั้งพระพาหิยะไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ คือผู้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการตรัสรู้เร็วพลัน ภิกษุทั้งหลายจึงทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพาหิยะบรรลุอรหันต์เมื่อไรพระเจ้าข้า" "ภิกษุทั้งหลาย พาหิยะเป็นพระอรหันต์เมื่อฟังธรรมของตถาคตจบลง" "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงแสดงธรรมแก่ท่านพาหิยะเมื่อไรพระเจ้าข้า" "ตถาคตแสดงธรรมแก่ท่านพาหิยะ ในระหว่างถนนขณะเมื่อกำลังบิณฑบาต"ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถึงข้อธรรมที่ทรงแสดงนั้น แล้วพากันกล่าวว่า ท่านพาหิยะยังคุณวิเศษให้บังเกิดขึ้นได้อย่างไร ด้วยพระธรรมเพียงเล็กน้อยประมาณนั้น พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า "เธอทั้งหลายอย่านับธรรมของเราว่า น้อยหรือมาก" แล้วตรัสคาถาขึ้นว่า "หากว่า คาถาแม้สักพันหนึ่ง ไม่ประกอบด้วย บทที่เป็นประโยชน์ มีความประเสริฐ คาถาเพียงบทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้ว สงบระงับได้ ประเสริฐกว่า"ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แลฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น