การแสดงธรรมกถาในวันนี้ จะต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อน ในข้อที่ว่า ธรรมกถา นี้ เป็นข้อความที่ติดต่อกันมาเรื่อย ๆ กับธรรมกถา ๔-๕ ครั้ง ที่ข้าพเจ้าแสดงมาแล้ว ในสถานที่นี้ นับตั้งแต่เรื่อง "วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม" เป็นต้นมา เพราะฉะนั้นข้อความบางอย่างที่เคยได้กล่าวไปแล้ว ในการแสดงครั้งก่อน ๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำมากล่าวอีก และไม่เป็นวิสัยที่จะนำมากล่าว เพราะเป็นเรื่องหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องเข้าใจว่า ข้อความบางอย่างที่กล่าวในวันนี้ เนื่องอยู่กับข้อความบางตอนในครั้งกระโน้น ซึ่งท่านผู้ฟังจะต้องนึกทบทวนไปถึง เป็นธรรมดา
สำหรับปาฐกถาในวันนี้ เมื่อจะกล่าวในใจความ ก็คือเรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" หมายความว่า จะได้กล่าวถึงเครื่องกีดกั้นขัดขวางวิถีทางแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม" จึงเป็นการเห็นได้ว่า ข้อความที่เกี่ยวกับพุทธธรรมนั้นเอง สมตามเจตนาเดิมที่ตั้งไว้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ว่าแต่การปาฐกถาที่พุทธสมาคมนี้ ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงสิ่งที่เราเรียกว่า "พุทธธรรม" ในแง่ต่าง ๆ กัน
ขอให้สนใจว่า คำพูดมีหลายชั้น มักถือเอาความไม่ตรงกัน
ในตอนต้นแห่งปาฐกถานี้ ข้าพเจ้าอยากจะดึงความสนใจ ของที่ผู้ฟังทั้งหลายให้สนใจกันเสียก่อนในข้อเท็จจริงอันสำคัญประการหนึ่ง คือข้อเท็จจริงที่ว่า คำพูดคำหนึ่ง มีความหมายหลายชั้น และถือเอาความไม่ตรงกันทุกคนไป ทั้งนี้แล้วแต่ภูมิชั้นแห่งปัญญาหรือการศึกษาของเขา ทั้งนี้ท่านผู้ฟังจะได้เข้าใจในเนื้อเรื่องตามหัวข้อข้างบนได้โดยง่าย และชัดเจน
คำที่เรามักมีความเข้าใจไม่ค่อยตรงกัน และมีความสำคัญในเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ ก็คือคำที่มีความหมายซับซ้อนสับสน อย่างคำว่า "ความจริง" เมื่อถามกันขึ้นว่า อะไรเป็นความจริง? อย่างที่พวกเราส่วนมากก็จะมีความคิดพุ่งตรงไปยังข้อที่ศาสดาเจ้าลัทธิหรือผู้สั่งสอนคนใดคนหนึ่ง ที่เรานับถือได้บัญญัติอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าเป็นความจริง ซึ่งเป็น ความจริงของความเชื่อ แทนที่แห่ง ความจริงของปัญญา ซึ่งมักทำให้เขารู้สึกว่าเป็นการหลอกตัวเองอยู่บ่อย ๆ
สำหรับความหมายเพียงเท่าที่กล่าวมานี้ รู้สึกว่ายังไม่สมแก่นามที่จะเรียกว่า "ความจริง" คือมันยังแตกต่างกันตามที่ศาสดานั้น ๆ ต่างคนต่างสอน และคนฟังหรือคนเชื่อเหล่านี้ ก็ยังฟังไม่ออก ไม่ถูกไม่ตรง ไม่หมดจดสิ้นเชิง ตามที่ศาสดาองค์นั้นต้องการจะให้เข้าใจ แม้ตนจะฟังผิดเชื่อผิดไปจากที่ศาสดาของตนสอน ตนก็ยึดถือเอาว่าเป็นความจริงอยู่นั่นเอง ซึ่งมันไม่อาจทำให้คนที่ถือหลักเช่นนั้นเข้าถึงความจริงได้
ความจริงของเขาเปลี่ยนไปตามกาลเวลาแห่งการศึกษาของเขา แต่เขาก็ได้ยึดถือเอาว่าเป็นความจริงแท้ทุก ๆ ระยะมาทีเดียว ทั้งที่มันเปลี่ยนแปลงเรื่อย ถ้าผิดไปจากนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนหลอกตัวเองและไม่มีความจริง ฉะนั้นในวันนี้ ข้าพเจ้าอยากจะบัญญัติความหมายของคำคำนี้ เพื่อความเหมาะสมกับการที่ท่านผู้ฟังจะเข้าใจเรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" ในวันนี้
"สิ่งที่เรียกว่าความจริงนั้นคือ สิ่งที่ปรากฏอยู่แก่ใจเท่าที่เรารู้หรือสัมผัสได้ พร้อมทั้งส่วนที่เป็นเหตุ และส่วนที่เป็นผล" สิ่งที่เราไม่อาจรู้หรือสัมผัสได้จนถึงที่สุดย่อมมีอยู่ทั่วไป กระทั่งถึงแม้ที่เป็นพวกวัตถุ ไม่ใช่จิตไม่ใช่วิญญาณอะไรมากมาย ความจริงในสิ่งเหล่านี้คืออย่างไรแน่ ก็ไม่มีหนทางที่จะบอกให้แก่คนที่ยังไม่เข้าถึงความจริงทราบได้ เพราะฉะนั้นโดยทั่ว ๆ ไป หรือตามที่มันเป็นอยู่แก่คนเราจริง ๆนั้น "ความจริง" ก็คือสิ่งที่ปรากฏแก่ความรู้สึกของผู้นั้น และสำหรับคนคนนั้นในขณะนั้นเท่านั้น
ความจริงในพุทธศาสนา ถือเอาเท่าที่จำเป็นแก่การพ้นทุกข์
สำหรับพุทธศาสนาของเรา ก็เป็นศาสนาที่ถือกันว่าแสดงความจริง ปัญหาจึงมีอยู่แต่เพียงว่าแสดงความจริงอะไร แสดงไปทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างหรือเพียงแค่ไหน ในที่นี้เราต้องถือเอาตามหลักของพุทธศาสนาเองที่มีอยู่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ คือ "ความจริงอันประเสริฐ" หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ "ความจริงของพระอริยเจ้า" ซึ่งเราควรจะพิจารณาดูทั้งสองนัยตามลำดับ คำว่าความจริงอันประเสริฐ ในที่นี้ หมายความว่า "เท่าที่จำเป็นแก่การพ้นทุกข์" ส่วนที่เลยจากความจำเป็นนั้นไป ไม่นับรวมเข้าในที่นี้
คนมักจะเข้าใจกันว่า ที่ว่าพุทธเจ้าเป็น สัพพัญญู นั้นคือรู้อะไรไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ทุกภาษาทุกเหตุการณ์ กระทั้งถ้าจะเอามาให้ทรงขับรถยนต์เดี๊ยวนี้ โดยไม่ต้องศึกษาเสียก่อน ก็จะทรงขับได้ดังนี้เป็นต้น ความเป็นสัพพัญญูอย่างนี้ ไม่ได้เป็นไปตามความหมายที่ถูกต้องของหลักแห่งพุทธศาสนา ขืนถือเอาความหมายอย่างนี้ก็จะเกิดความสร้างสรรค์องค์พระพุทธเจ้าขึ้นมายึดถือไว้อย่างผิด ๆ เท่านั้นเอง
สัพพัญญุ ซึ่งแปลว่ารู้ทุก ๆ อย่างนั้น หมายถึง ความรู้เฉพาะสิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่จำเป็นจะต้องรู้อันเกี่ยวกับการพ้นทุกข์สิ้นเชิงแล้วย่อมรู้สิ่งนั้น โดยถูกต้องครบถ้วนทุกประการ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า สัพพัญญู
การที่จะถือว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงทราบภาษาจีน ภาษาแขก และ ฯลฯ โดยไม่มีการเรียนนั้น เป็นการเหลือวิสัยเกินไป เป็นการสร้างสรรค์เอาด้วยความรักและความเชื่อของคนสมัยหนึ่ง เพื่อดึงตัวเองและเพื่อนมนุษย์เข้าหาความเชื่อโดยทุกวิถีทาง และปราศจากความสำนึกถึงการเลยขอบเขต โดยถือเสียว่าการทำอย่างนี้ ในชั้นนี้ ยิ่งมากยิ่งดี เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นอันกล่าวได้ว่า แม้ ความจริงเท่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบและทรงสอนนั้น ก็คือความจริงเท่าที่จำเป็นจะต้องรู้ คือ เท่าที่เกี่ยวกับความพ้นทุกข์สิ้นเชิง จึงได้เรียกว่า ความจริงอันประเสริฐ
อริยสัจจ์คือความจริงที่พระอริยเจ้าเห็น
ส่วนอีกนัยหนึ่ง ที่เรียกว่า "ความจริงของพระอริยเจ้า" นั้นยิ่งเห็นความหมายได้ชัดเจน ข้อนี้ หมายถึงความจริงที่พระอริยเจ้าท่านมองเห็น คนธรรมดาเราท่านมองไม่เห็น จึงไม่อาจเรียกว่า ความจริงของคนธรรมดา เมื่อใดเห็น เมื่อนั้นก็เป็นพระอริยเจ้าเสียแล้ว ฉะนั้นความจริงที่มีนามว่าอริยสัจจ์ จึงได้แก่ความจริงอย่างหนึ่งหรือลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะ และเห็นได้ในขณะที่เป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น
ข้อนี้ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เราเรียกว่าความจริงนั้นยังมีอีกมากมายนัก และอยู่นอกเหนือความจำเป็น แม้เท่าที่อยู่ในวงของความจำเป็นจะต้องรู้จะต้องทราบก็ยังมีมาก ขนาดต้องใช้ปัญญาของผู้ที่เป็นสัพพัญญู คนธรรมดาแม้จะรู้ความจริงถึงขนาดพ้นทุกแล้ว ก็รู้ในวงจำกัดเท่าที่เกี่ยวกับความจำของตนไม่กว้างถึงเพื่อผู้อื่น ซึ่งมีอุปนิสัยใจคออย่างอื่น และก็เท่าที่ปรากฏแก่ใจของตนเท่านั้น
ตัวความจริงไม่ใช่สิ่งที่บัญญัติ แต่เป็นสิ่งที่เห็นด้วยปัญญา
โดยหลักวิชาหรือหลักลัทธิที่ตั้งขึ้นไว้ เราอาจบัญญัติความจริงว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ตามใจชอบ และเรียนรู้หรือท่องจำกันไว้ได้ แต่ครั้นมาถึงความจริงที่เป็นไปในใจไหรือในการกระทำจริง ๆ นั้น ตัวความจริงไม่ใช่สิ่งที่บัญญัติแต่มาอยู่ที่สิ่งซึ่งเขากำลังมองเห็น และถือกันไว้ด้วยปัญญาของเขา และแตกต่างกันเฉพาะคนไป ความจริงที่บัญญัติไว้นั้น ถูกเอามาปรุงกันใหม่ ตามอำนาจของความรู้สึกที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเหตุผลและเหตุการณ์ที่แวดล้อมอีกต่อหนึ่ง คำคำเดียวกัน หรือลัทธิข้อเดียวกัน แต่มาอยู่ในใจของคนผู้ถือในรูปต่าง ๆ กันเป็นคน ๆ ไป แล้วแต่ว่าระดับความรู้สึกหรือใจของผู้นั้นอยู่ในลักษณะเช่นไรหรือเพียงไหน
ตัวอย่างเช่นคำว่า "ความสุข" ซึ่งที่แท้ก็เป็นความจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะของตัวเองโดยเฉพาะ แต่ในที่สุดความหมายของคำว่าความสุขนี้ กลับแตกต่างกันเป็นราย ๆ ไป ไม่เหมือนกันซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ถือเป็นความจริงของตนทั้งนั้น และกำลังถือกันอยู่จริง ๆ ทั่วทุกคนไปไม่ยกเว้นใคร
การที่จะเกณฑ์ให้เชื่อตามผู้อื่นในกรณีเช่นนี้โดยภายในใจย่อมเป็นไปไม่ได้ หากจะใช้บังคับกันด้วยความศักดิ์สิทธิ์หรือความเคารพนับถือแล้ว ก็ย่อมจะเชื่อไปทีเท่านั้นเอง
แม้ที่ถือกันว่าพระนิพพานเป็นสุข ก็กล้ากล่าวได้ว่า มีคนจำนวนมาก ที่ถือว่าพระนิพพานเป็นสุขนั้น ตกอยู่ในฐานะหลอกตัวเอง คือเชื่อไปทั้งที่มองไม่เห็นว่าจะเป็นสุขได้อย่างไร แต่เชื่อไปโดยเหตุว่าตนเป็นพุทธบริษัท หรือเชื่อด้วยความเคารพในพุทธวจนะ แล้วก็ลืมความรู้สึกที่ฝืนความรู้สึกนั้นเสียอย่างนี้เป็นต้น แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเขามีความจริงของเขาอยู่นั่นเอง...
อ่านต่อตอน๒...เร็ว ๆ นี้
สำหรับปาฐกถาในวันนี้ เมื่อจะกล่าวในใจความ ก็คือเรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" หมายความว่า จะได้กล่าวถึงเครื่องกีดกั้นขัดขวางวิถีทางแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม" จึงเป็นการเห็นได้ว่า ข้อความที่เกี่ยวกับพุทธธรรมนั้นเอง สมตามเจตนาเดิมที่ตั้งไว้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ว่าแต่การปาฐกถาที่พุทธสมาคมนี้ ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงสิ่งที่เราเรียกว่า "พุทธธรรม" ในแง่ต่าง ๆ กัน
ขอให้สนใจว่า คำพูดมีหลายชั้น มักถือเอาความไม่ตรงกัน
ในตอนต้นแห่งปาฐกถานี้ ข้าพเจ้าอยากจะดึงความสนใจ ของที่ผู้ฟังทั้งหลายให้สนใจกันเสียก่อนในข้อเท็จจริงอันสำคัญประการหนึ่ง คือข้อเท็จจริงที่ว่า คำพูดคำหนึ่ง มีความหมายหลายชั้น และถือเอาความไม่ตรงกันทุกคนไป ทั้งนี้แล้วแต่ภูมิชั้นแห่งปัญญาหรือการศึกษาของเขา ทั้งนี้ท่านผู้ฟังจะได้เข้าใจในเนื้อเรื่องตามหัวข้อข้างบนได้โดยง่าย และชัดเจน
คำที่เรามักมีความเข้าใจไม่ค่อยตรงกัน และมีความสำคัญในเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ ก็คือคำที่มีความหมายซับซ้อนสับสน อย่างคำว่า "ความจริง" เมื่อถามกันขึ้นว่า อะไรเป็นความจริง? อย่างที่พวกเราส่วนมากก็จะมีความคิดพุ่งตรงไปยังข้อที่ศาสดาเจ้าลัทธิหรือผู้สั่งสอนคนใดคนหนึ่ง ที่เรานับถือได้บัญญัติอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าเป็นความจริง ซึ่งเป็น ความจริงของความเชื่อ แทนที่แห่ง ความจริงของปัญญา ซึ่งมักทำให้เขารู้สึกว่าเป็นการหลอกตัวเองอยู่บ่อย ๆ
สำหรับความหมายเพียงเท่าที่กล่าวมานี้ รู้สึกว่ายังไม่สมแก่นามที่จะเรียกว่า "ความจริง" คือมันยังแตกต่างกันตามที่ศาสดานั้น ๆ ต่างคนต่างสอน และคนฟังหรือคนเชื่อเหล่านี้ ก็ยังฟังไม่ออก ไม่ถูกไม่ตรง ไม่หมดจดสิ้นเชิง ตามที่ศาสดาองค์นั้นต้องการจะให้เข้าใจ แม้ตนจะฟังผิดเชื่อผิดไปจากที่ศาสดาของตนสอน ตนก็ยึดถือเอาว่าเป็นความจริงอยู่นั่นเอง ซึ่งมันไม่อาจทำให้คนที่ถือหลักเช่นนั้นเข้าถึงความจริงได้
ความจริงของเขาเปลี่ยนไปตามกาลเวลาแห่งการศึกษาของเขา แต่เขาก็ได้ยึดถือเอาว่าเป็นความจริงแท้ทุก ๆ ระยะมาทีเดียว ทั้งที่มันเปลี่ยนแปลงเรื่อย ถ้าผิดไปจากนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนหลอกตัวเองและไม่มีความจริง ฉะนั้นในวันนี้ ข้าพเจ้าอยากจะบัญญัติความหมายของคำคำนี้ เพื่อความเหมาะสมกับการที่ท่านผู้ฟังจะเข้าใจเรื่อง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" ในวันนี้
"สิ่งที่เรียกว่าความจริงนั้นคือ สิ่งที่ปรากฏอยู่แก่ใจเท่าที่เรารู้หรือสัมผัสได้ พร้อมทั้งส่วนที่เป็นเหตุ และส่วนที่เป็นผล" สิ่งที่เราไม่อาจรู้หรือสัมผัสได้จนถึงที่สุดย่อมมีอยู่ทั่วไป กระทั่งถึงแม้ที่เป็นพวกวัตถุ ไม่ใช่จิตไม่ใช่วิญญาณอะไรมากมาย ความจริงในสิ่งเหล่านี้คืออย่างไรแน่ ก็ไม่มีหนทางที่จะบอกให้แก่คนที่ยังไม่เข้าถึงความจริงทราบได้ เพราะฉะนั้นโดยทั่ว ๆ ไป หรือตามที่มันเป็นอยู่แก่คนเราจริง ๆนั้น "ความจริง" ก็คือสิ่งที่ปรากฏแก่ความรู้สึกของผู้นั้น และสำหรับคนคนนั้นในขณะนั้นเท่านั้น
ความจริงในพุทธศาสนา ถือเอาเท่าที่จำเป็นแก่การพ้นทุกข์
สำหรับพุทธศาสนาของเรา ก็เป็นศาสนาที่ถือกันว่าแสดงความจริง ปัญหาจึงมีอยู่แต่เพียงว่าแสดงความจริงอะไร แสดงไปทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างหรือเพียงแค่ไหน ในที่นี้เราต้องถือเอาตามหลักของพุทธศาสนาเองที่มีอยู่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ คือ "ความจริงอันประเสริฐ" หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ "ความจริงของพระอริยเจ้า" ซึ่งเราควรจะพิจารณาดูทั้งสองนัยตามลำดับ คำว่าความจริงอันประเสริฐ ในที่นี้ หมายความว่า "เท่าที่จำเป็นแก่การพ้นทุกข์" ส่วนที่เลยจากความจำเป็นนั้นไป ไม่นับรวมเข้าในที่นี้
คนมักจะเข้าใจกันว่า ที่ว่าพุทธเจ้าเป็น สัพพัญญู นั้นคือรู้อะไรไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ทุกภาษาทุกเหตุการณ์ กระทั้งถ้าจะเอามาให้ทรงขับรถยนต์เดี๊ยวนี้ โดยไม่ต้องศึกษาเสียก่อน ก็จะทรงขับได้ดังนี้เป็นต้น ความเป็นสัพพัญญูอย่างนี้ ไม่ได้เป็นไปตามความหมายที่ถูกต้องของหลักแห่งพุทธศาสนา ขืนถือเอาความหมายอย่างนี้ก็จะเกิดความสร้างสรรค์องค์พระพุทธเจ้าขึ้นมายึดถือไว้อย่างผิด ๆ เท่านั้นเอง
สัพพัญญุ ซึ่งแปลว่ารู้ทุก ๆ อย่างนั้น หมายถึง ความรู้เฉพาะสิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่จำเป็นจะต้องรู้อันเกี่ยวกับการพ้นทุกข์สิ้นเชิงแล้วย่อมรู้สิ่งนั้น โดยถูกต้องครบถ้วนทุกประการ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า สัพพัญญู
การที่จะถือว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงทราบภาษาจีน ภาษาแขก และ ฯลฯ โดยไม่มีการเรียนนั้น เป็นการเหลือวิสัยเกินไป เป็นการสร้างสรรค์เอาด้วยความรักและความเชื่อของคนสมัยหนึ่ง เพื่อดึงตัวเองและเพื่อนมนุษย์เข้าหาความเชื่อโดยทุกวิถีทาง และปราศจากความสำนึกถึงการเลยขอบเขต โดยถือเสียว่าการทำอย่างนี้ ในชั้นนี้ ยิ่งมากยิ่งดี เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นอันกล่าวได้ว่า แม้ ความจริงเท่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบและทรงสอนนั้น ก็คือความจริงเท่าที่จำเป็นจะต้องรู้ คือ เท่าที่เกี่ยวกับความพ้นทุกข์สิ้นเชิง จึงได้เรียกว่า ความจริงอันประเสริฐ
อริยสัจจ์คือความจริงที่พระอริยเจ้าเห็น
ส่วนอีกนัยหนึ่ง ที่เรียกว่า "ความจริงของพระอริยเจ้า" นั้นยิ่งเห็นความหมายได้ชัดเจน ข้อนี้ หมายถึงความจริงที่พระอริยเจ้าท่านมองเห็น คนธรรมดาเราท่านมองไม่เห็น จึงไม่อาจเรียกว่า ความจริงของคนธรรมดา เมื่อใดเห็น เมื่อนั้นก็เป็นพระอริยเจ้าเสียแล้ว ฉะนั้นความจริงที่มีนามว่าอริยสัจจ์ จึงได้แก่ความจริงอย่างหนึ่งหรือลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะ และเห็นได้ในขณะที่เป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น
ข้อนี้ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เราเรียกว่าความจริงนั้นยังมีอีกมากมายนัก และอยู่นอกเหนือความจำเป็น แม้เท่าที่อยู่ในวงของความจำเป็นจะต้องรู้จะต้องทราบก็ยังมีมาก ขนาดต้องใช้ปัญญาของผู้ที่เป็นสัพพัญญู คนธรรมดาแม้จะรู้ความจริงถึงขนาดพ้นทุกแล้ว ก็รู้ในวงจำกัดเท่าที่เกี่ยวกับความจำของตนไม่กว้างถึงเพื่อผู้อื่น ซึ่งมีอุปนิสัยใจคออย่างอื่น และก็เท่าที่ปรากฏแก่ใจของตนเท่านั้น
ตัวความจริงไม่ใช่สิ่งที่บัญญัติ แต่เป็นสิ่งที่เห็นด้วยปัญญา
โดยหลักวิชาหรือหลักลัทธิที่ตั้งขึ้นไว้ เราอาจบัญญัติความจริงว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ตามใจชอบ และเรียนรู้หรือท่องจำกันไว้ได้ แต่ครั้นมาถึงความจริงที่เป็นไปในใจไหรือในการกระทำจริง ๆ นั้น ตัวความจริงไม่ใช่สิ่งที่บัญญัติแต่มาอยู่ที่สิ่งซึ่งเขากำลังมองเห็น และถือกันไว้ด้วยปัญญาของเขา และแตกต่างกันเฉพาะคนไป ความจริงที่บัญญัติไว้นั้น ถูกเอามาปรุงกันใหม่ ตามอำนาจของความรู้สึกที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเหตุผลและเหตุการณ์ที่แวดล้อมอีกต่อหนึ่ง คำคำเดียวกัน หรือลัทธิข้อเดียวกัน แต่มาอยู่ในใจของคนผู้ถือในรูปต่าง ๆ กันเป็นคน ๆ ไป แล้วแต่ว่าระดับความรู้สึกหรือใจของผู้นั้นอยู่ในลักษณะเช่นไรหรือเพียงไหน
ตัวอย่างเช่นคำว่า "ความสุข" ซึ่งที่แท้ก็เป็นความจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะของตัวเองโดยเฉพาะ แต่ในที่สุดความหมายของคำว่าความสุขนี้ กลับแตกต่างกันเป็นราย ๆ ไป ไม่เหมือนกันซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ถือเป็นความจริงของตนทั้งนั้น และกำลังถือกันอยู่จริง ๆ ทั่วทุกคนไปไม่ยกเว้นใคร
การที่จะเกณฑ์ให้เชื่อตามผู้อื่นในกรณีเช่นนี้โดยภายในใจย่อมเป็นไปไม่ได้ หากจะใช้บังคับกันด้วยความศักดิ์สิทธิ์หรือความเคารพนับถือแล้ว ก็ย่อมจะเชื่อไปทีเท่านั้นเอง
แม้ที่ถือกันว่าพระนิพพานเป็นสุข ก็กล้ากล่าวได้ว่า มีคนจำนวนมาก ที่ถือว่าพระนิพพานเป็นสุขนั้น ตกอยู่ในฐานะหลอกตัวเอง คือเชื่อไปทั้งที่มองไม่เห็นว่าจะเป็นสุขได้อย่างไร แต่เชื่อไปโดยเหตุว่าตนเป็นพุทธบริษัท หรือเชื่อด้วยความเคารพในพุทธวจนะ แล้วก็ลืมความรู้สึกที่ฝืนความรู้สึกนั้นเสียอย่างนี้เป็นต้น แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเขามีความจริงของเขาอยู่นั่นเอง...
อ่านต่อตอน๒...เร็ว ๆ นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น