การละสังขารของ “พระธรรมสิงหบุราจารย์(จรัญ ฐิตธมฺโม)” หรือที่พุทธศาสนิกชนและลูกศิษย์ลูกหาเรียกกันสั้นว่า “หลวงพ่อจรัญ” เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2559 สิริรวมอายุ 87 ปี นั้น ถือเป็นการสูญเสีย “พระดีที่น่ากราบ” ในยุคนี้สมัยนี้ไปอีกรูปหนึ่ง
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโมเป็นพระที่มีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหาที่ศรัทธาในแนวทางการสอนอยู่ทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาจิตใจคนด้วยการทำวิปัสสนากรรมฐานด้วยหลักสติปัฏฐาน 4 แบบพองหนอ-ยุบหนอ ตลอดรวมไปถึงการสั่งสอนเรื่องกฎแห่งกรรม โดยยกเหตุการณ์ที่ประสบขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์อยู่เสมอ
ที่สำคัญคือ หลวงพ่อจรัญนั้นยังเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนหมั่นสวดมนต์ด้วย “พุทธชัยมงคลคาถา” หรือ “คาถาพาหุงมหากา” เพื่อเป็นเครื่องเจริญสติ ซึ่งส่งผลทำให้มีการตีพิมพ์คาถาพาหุงมหากากันอย่างแพร่หลายในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา จนอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครในประเทศไทยไม่รู้จักพระคาถาบทนี้เลยก็ว่าได้
ขณะที่วัดอัมพวันซึ่งได้รับการพัฒนาจากหลวงพ่อให้มีความสัปปายะเหมาะแก่การเจริญภาวนา ก็เนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่พร้อมใจกันเดินทางไปศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่ออย่างไม่ขาดสาย ยิ่งในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ด้วยแล้ว จำนวนยิ่งมากเป็นพิเศษ โดยก่อนที่หลวงพ่อจะเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ทุกๆ วัน ช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้าและบ่ายสองโมง หลวงพ่อจะออกมาให้พรและพบปะกับญาติโยมเป็นกิจวัตร
วันนี้ “พระดีในใจคน” ได้ละสังขารไปแล้ว แต่วัตรปฏิบัติและคำสั่งสอน ตลอดรวมถึงข้อธรรมะต่างๆ ยังคงตราตรึงให้หัวใจของพุทธศาสนิกชนอย่างไม่มีวันเสื่อมคล้าย
ชีวิตเด็กชายจอมเกเร
หลวงพ่อจรัญเกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2571 เวลา 7.10น. ปีมะโรง ณ ตำบลม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวน 10 คน ของนายแพและนางเจิม จรรยารักษ์
หนังสือชีวประวัติหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม พระราชสุทธิญาณมงคล (ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมสิงหบุราจารย์) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้ร้อยเรียงเรื่องราวเมื่อเยาว์วัยของ เด็กชายจอมเกเรที่กลับตาลปัตรมาเป็น พระอริยะผู้ปฏิบัติดี ได้รับความเลื่อมศรัทศรัทธาจากปุถุชนทั่วฟ้าเมืองไทย เอาไว้อย่างน่าสนใจ
ชีวิตช่วงเยาว์วัย ด.ช.จรัญอาศัยอยู่กับยาย วัย 80 ปี ณ เรือนทรงไทยหลังใหญ่ ติดลำน้ำลพบุรี ได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีวินัย รู้จักหน้าที่ของตน เช้ามืดของทุกวันยายจะลุกขึ้นสวดมนต์ภาวนา เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ส่วน ด.ช.จรัญ จะลุกขึ้นก่อไฟหุงข้าวให้ยายใส่บาตร ช่วยงานยายให้เสร็จสรรพแล้วจึงไป โรงเรียนวัดพรหมสาคร
ในวัยที่กำลังเรียนหนังสือ เด็กชายจรัญไม่เคยสนใจเรียนหนังสือเลย มักชวนเพื่อนๆ ไปยิงนกตกปลา ถูกย้ายโรงเรียนหลายแห่ง เพราะทางโรงเรียนทนความประพฤติของเด็กชายจรัญไม่ไหว ทั้งๆ ที่ยายพร่ำสอนแต่สิ่งดีๆ ให้ เด็กชายจรัญ แต่เขากลับไม่เคยรับฟังอย่างใส่ใจเลย
“ยายให้เอาข้าวไปถวายพระแทน เพราะยายไม่ค่อยสบาย ระหว่างทางเจอเพื่อนนักเรียนที่สร้างวีรกรรมหนีโรงเรียนด้วยกันมา เพื่อนบอกว่า.. ยังไม่ได้กินข้าวเลย เด็กชายจรัญ ก็นึกไปว่าจะเอาไปให้พระทำไม พระก็มีของกินตั้งเยอะแยะแล้ว
“เลยตั้งวงกินกันเองกับเพื่อน พอกลับถึงบ้าน ยายถามก็บอกว่า ถวายแล้ว วันต่อมาก็ทำอีก บังเอิญ อยู่มาวันหนึ่ง สมภารได้แวะมาเยี่ยมยายที่บ้าน ความเลยแตก ถูกยายดุด่าและตีด้วยไม้เรียว พร้อมทั้งพูดสั่งสอน.. เอ็งทำแบบนี้ มันเป็นบาปต้องเป็นเปรตปากเท่ารูเข็มรู้ไม๊”
ด.ช.จรัญ มีวีรกรรมแสบติดตัวมากมาย
“ทุกๆ ปี ปีละ 2 ครั้ง ยายจะจัดให้มีการเทศน์มหาชาติขึ้นที่บ้าน ลูกๆ หลานๆ ก็มาพร้อมหน้ากัน ยายจะนิมนต์พระมา 3 รูป ขึ้นเทศน์ 3 ธรรมาสน์ เทศน์โต้ตอบกันเรียกว่า เทศปุจฉาวิสัชนา เด็กๆ จะพากันวิ่งซุกซน ยายจะจับผูกขาล่ามไว้กับเสาเรือนเป็นการบังคับให้ฟังเทศน์ ด.ช.จรัญ เป็นหนึ่งในจำนวนเด็กที่ถูกผูกขาล่ามเชือกไว้ด้วย
หรืออย่าง เมื่อตอน ม.2 เขาได้รับเงินค่าจ้าง 1 บาท จากพวกขี้เหล้า เพื่อนำเต่า 7 ตัวไปต้ม แน่นอน เขารับคำแล้วก่อไฟต้มน้ำจนเดือด ก่อนที่จะนำเต่าใส่ลงหม้อขณะน้ำเดือดพล่าน เต่าทั้งหมดพากันดิ้นทุรนทุรายจนหม้อแตก พวกมันตะเกียกตะกายหนีเอาชีวิตรอดเข้าไปในกอไผ่ใกล้ๆ ด.ช.จรัญ ตามไปเพื่อจะจับมันกลับต้มอีกครั้ง แต่พบภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก เต่าทั้ง 7 ตัว น้ำตาไหลพราก ใช้ขาสองขาหน้าของตนปาดน้ำตาเป็นพัลวัน จึงได้ปล่อยไป โดยที่ไม่รู้ว่ากรรม ที่ได้สร้างขึ้นมานั้น จะตามมาถึงในวันข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม จากผลกรรมที่หลวงพ่อได้การกระทำ เมื่อเข้าสู่สมณเพศท่านตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า จะสร้างขัดเกลาผู้คนโดยใช้วิธีการให้การศึกษาอบรมและสอนวิปัสสนากรรมฐาน และนำผลกรรมเก่ามาสอนในหนังสือกฎแห่งกรรมด้วย
หลังจบชั้น ม.4 หลวงพ่อจรัญได้ศึกษาวิชาต่างๆ หลากหลายแขนง ทั้งวิชาช่างกลจากอาจารย์เลื่อน พงษ์โสภณ และวิชาดนตรีจากหลวงประดิษฐ์ไพเราะ นอกจากนี้ยังเคยเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เรียนได้สามเดือนก็ลาออกเพราะเกิดเหตุวิวาทกับรุ่นพี่
หลังจากนั้น หลวงพ่อจรัญจึงเดินทางกลับมายังบ้านเกิดที่สิงห์บุรีและนำวิชาดนตรีที่ได้ร่ำเรียนมาประกอบอาชีพอยู่ที่อำเภอพรหมบุรี โดยออกงานดนตรีกับคณะจรรยารักษ์ซึ่งมีอยู่เดิมจนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว
นอกจากฝีมือทางดนตรีแล้ว หลวงพ่อจรัญยังมีฝีมือทางการเขียนหนังสือ โดยสามารถประพันธ์เรื่องนางอรพิมกับท้าวปาจิตต์จนมีคณะลิเกขอลอกบทเพื่อนำไปแสดงเป็นลิเกหลายคณะ
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโมเป็นพระที่มีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหาที่ศรัทธาในแนวทางการสอนอยู่ทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาจิตใจคนด้วยการทำวิปัสสนากรรมฐานด้วยหลักสติปัฏฐาน 4 แบบพองหนอ-ยุบหนอ ตลอดรวมไปถึงการสั่งสอนเรื่องกฎแห่งกรรม โดยยกเหตุการณ์ที่ประสบขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์อยู่เสมอ
ที่สำคัญคือ หลวงพ่อจรัญนั้นยังเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนหมั่นสวดมนต์ด้วย “พุทธชัยมงคลคาถา” หรือ “คาถาพาหุงมหากา” เพื่อเป็นเครื่องเจริญสติ ซึ่งส่งผลทำให้มีการตีพิมพ์คาถาพาหุงมหากากันอย่างแพร่หลายในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา จนอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครในประเทศไทยไม่รู้จักพระคาถาบทนี้เลยก็ว่าได้
ขณะที่วัดอัมพวันซึ่งได้รับการพัฒนาจากหลวงพ่อให้มีความสัปปายะเหมาะแก่การเจริญภาวนา ก็เนืองแน่นไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่พร้อมใจกันเดินทางไปศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่ออย่างไม่ขาดสาย ยิ่งในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ด้วยแล้ว จำนวนยิ่งมากเป็นพิเศษ โดยก่อนที่หลวงพ่อจะเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ทุกๆ วัน ช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้าและบ่ายสองโมง หลวงพ่อจะออกมาให้พรและพบปะกับญาติโยมเป็นกิจวัตร
วันนี้ “พระดีในใจคน” ได้ละสังขารไปแล้ว แต่วัตรปฏิบัติและคำสั่งสอน ตลอดรวมถึงข้อธรรมะต่างๆ ยังคงตราตรึงให้หัวใจของพุทธศาสนิกชนอย่างไม่มีวันเสื่อมคล้าย
ชีวิตเด็กชายจอมเกเร
หลวงพ่อจรัญเกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2571 เวลา 7.10น. ปีมะโรง ณ ตำบลม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวน 10 คน ของนายแพและนางเจิม จรรยารักษ์
หนังสือชีวประวัติหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม พระราชสุทธิญาณมงคล (ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมสิงหบุราจารย์) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้ร้อยเรียงเรื่องราวเมื่อเยาว์วัยของ เด็กชายจอมเกเรที่กลับตาลปัตรมาเป็น พระอริยะผู้ปฏิบัติดี ได้รับความเลื่อมศรัทศรัทธาจากปุถุชนทั่วฟ้าเมืองไทย เอาไว้อย่างน่าสนใจ
ชีวิตช่วงเยาว์วัย ด.ช.จรัญอาศัยอยู่กับยาย วัย 80 ปี ณ เรือนทรงไทยหลังใหญ่ ติดลำน้ำลพบุรี ได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีวินัย รู้จักหน้าที่ของตน เช้ามืดของทุกวันยายจะลุกขึ้นสวดมนต์ภาวนา เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ส่วน ด.ช.จรัญ จะลุกขึ้นก่อไฟหุงข้าวให้ยายใส่บาตร ช่วยงานยายให้เสร็จสรรพแล้วจึงไป โรงเรียนวัดพรหมสาคร
ในวัยที่กำลังเรียนหนังสือ เด็กชายจรัญไม่เคยสนใจเรียนหนังสือเลย มักชวนเพื่อนๆ ไปยิงนกตกปลา ถูกย้ายโรงเรียนหลายแห่ง เพราะทางโรงเรียนทนความประพฤติของเด็กชายจรัญไม่ไหว ทั้งๆ ที่ยายพร่ำสอนแต่สิ่งดีๆ ให้ เด็กชายจรัญ แต่เขากลับไม่เคยรับฟังอย่างใส่ใจเลย
“ยายให้เอาข้าวไปถวายพระแทน เพราะยายไม่ค่อยสบาย ระหว่างทางเจอเพื่อนนักเรียนที่สร้างวีรกรรมหนีโรงเรียนด้วยกันมา เพื่อนบอกว่า.. ยังไม่ได้กินข้าวเลย เด็กชายจรัญ ก็นึกไปว่าจะเอาไปให้พระทำไม พระก็มีของกินตั้งเยอะแยะแล้ว
“เลยตั้งวงกินกันเองกับเพื่อน พอกลับถึงบ้าน ยายถามก็บอกว่า ถวายแล้ว วันต่อมาก็ทำอีก บังเอิญ อยู่มาวันหนึ่ง สมภารได้แวะมาเยี่ยมยายที่บ้าน ความเลยแตก ถูกยายดุด่าและตีด้วยไม้เรียว พร้อมทั้งพูดสั่งสอน.. เอ็งทำแบบนี้ มันเป็นบาปต้องเป็นเปรตปากเท่ารูเข็มรู้ไม๊”
ด.ช.จรัญ มีวีรกรรมแสบติดตัวมากมาย
“ทุกๆ ปี ปีละ 2 ครั้ง ยายจะจัดให้มีการเทศน์มหาชาติขึ้นที่บ้าน ลูกๆ หลานๆ ก็มาพร้อมหน้ากัน ยายจะนิมนต์พระมา 3 รูป ขึ้นเทศน์ 3 ธรรมาสน์ เทศน์โต้ตอบกันเรียกว่า เทศปุจฉาวิสัชนา เด็กๆ จะพากันวิ่งซุกซน ยายจะจับผูกขาล่ามไว้กับเสาเรือนเป็นการบังคับให้ฟังเทศน์ ด.ช.จรัญ เป็นหนึ่งในจำนวนเด็กที่ถูกผูกขาล่ามเชือกไว้ด้วย
หรืออย่าง เมื่อตอน ม.2 เขาได้รับเงินค่าจ้าง 1 บาท จากพวกขี้เหล้า เพื่อนำเต่า 7 ตัวไปต้ม แน่นอน เขารับคำแล้วก่อไฟต้มน้ำจนเดือด ก่อนที่จะนำเต่าใส่ลงหม้อขณะน้ำเดือดพล่าน เต่าทั้งหมดพากันดิ้นทุรนทุรายจนหม้อแตก พวกมันตะเกียกตะกายหนีเอาชีวิตรอดเข้าไปในกอไผ่ใกล้ๆ ด.ช.จรัญ ตามไปเพื่อจะจับมันกลับต้มอีกครั้ง แต่พบภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก เต่าทั้ง 7 ตัว น้ำตาไหลพราก ใช้ขาสองขาหน้าของตนปาดน้ำตาเป็นพัลวัน จึงได้ปล่อยไป โดยที่ไม่รู้ว่ากรรม ที่ได้สร้างขึ้นมานั้น จะตามมาถึงในวันข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม จากผลกรรมที่หลวงพ่อได้การกระทำ เมื่อเข้าสู่สมณเพศท่านตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า จะสร้างขัดเกลาผู้คนโดยใช้วิธีการให้การศึกษาอบรมและสอนวิปัสสนากรรมฐาน และนำผลกรรมเก่ามาสอนในหนังสือกฎแห่งกรรมด้วย
หลังจบชั้น ม.4 หลวงพ่อจรัญได้ศึกษาวิชาต่างๆ หลากหลายแขนง ทั้งวิชาช่างกลจากอาจารย์เลื่อน พงษ์โสภณ และวิชาดนตรีจากหลวงประดิษฐ์ไพเราะ นอกจากนี้ยังเคยเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เรียนได้สามเดือนก็ลาออกเพราะเกิดเหตุวิวาทกับรุ่นพี่
หลังจากนั้น หลวงพ่อจรัญจึงเดินทางกลับมายังบ้านเกิดที่สิงห์บุรีและนำวิชาดนตรีที่ได้ร่ำเรียนมาประกอบอาชีพอยู่ที่อำเภอพรหมบุรี โดยออกงานดนตรีกับคณะจรรยารักษ์ซึ่งมีอยู่เดิมจนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว
นอกจากฝีมือทางดนตรีแล้ว หลวงพ่อจรัญยังมีฝีมือทางการเขียนหนังสือ โดยสามารถประพันธ์เรื่องนางอรพิมกับท้าวปาจิตต์จนมีคณะลิเกขอลอกบทเพื่อนำไปแสดงเป็นลิเกหลายคณะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น