วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

แจ้งจิต


เสียงผู้คนโห่ร้องดังสนั่นหวั่นไหว ขนาด “ภัททา” อยู่บนชั้นเจ็ดของปราสาท ยังได้ยินชัดเจน เกิดอะไรขึ้น สาวน้อยวิ่งถลาไปที่หน้าต่างซะโงกหน้ามองลงไป
ฝูงชนยังจับกลุ่มกันอยู่เนืองแน่น ที่กลางถนนนั่น ราชบุรุษกำลังโบยตีชายคนหนึ่งด้วยแส้ ชายนั่นถูกจับมัดมือไพล่หลัง มีโซ่ตรวนคล้องอยู่ที่เท้านั่งสองข้าง เขาสะดุดล้มลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นและต้องสะดุ้งจนหน้าหงายเมื่อถูกกระหน่ำซ้ำด้วยแส้ เข้าที่กลางหลังอีก
ช่วงเวลาที่ใบหน้าของเขาหงายขึ้นมานั่นแหละ ภัททาจึงได้มองเห็นหน้านั่น อย่างเต็มตา
คุณพระช่วย...
บุรุษผู้นี้เป็นใครกันสาวน้อยหันกลับไปตะโกนเรียกนางทาสีประจำตัว “มานี่ มาตรงนี้เร็ว ๆ เดี๋ยวนี้” นางทาสีรีบทำตามคำสั่ง “เจ้าเห็นผู้ชายที่ถูกมัดอยู่นั่นไหม บอกมาสิว่าเขาเป็นใคร” นางทาสีมองตามนิ้วมือที่ชี้ไปของนายหญิง
“โอ๊ย นั่นน่ะคงจะเป็น “มหาโจรสัตตุกะ” แน่ ๆ เขาลือกันว่าวันนี้มันจะถูก แห่ประจาน แล้วนำไปฆ่าที่ภูเขาทิ้งโจร ไอ้นี่มันโหดร้ายมาก ทั้งปล้น ทั้งฆ่า ทั้งข่มขืน น่ากลัวออก อย่าไปดูเลย คุณหนูรีบหลบเข้ามาเถอะ”
ภัททาไม่อาจถอนเท้าออกมาจากริมหน้าต่างได้ ใบหน้าของสัตตุกะช่างมีแรง ดึงดูดเสียเหลือเกิน นางยอมไม่ได้ที่จะให้ชายผู้น่าสงสารนี้ต้องเดินทางไปสู่ความตาย  “เขาเป็นลูกของใคร บ้านอยู่ที่ไหน”
“เขาเป็นชาวราชคฤห์เหมือนเรานี่แหละค่ะ พ่อมีตำแหน่งเป็นถึงปุโรหิตของ พระเจ้าพิมพิสาร แต่ลูกกลับมีสันดานเป็นโจร คุณหนูจะสนใจอะไรเขานักหนา”
เป็นถึงลูกของปุโรหิตเชียว ภัททาหันไปพูดกับนางทาสีว่า
“ฉันต้องการแต่งงานกับเขา ไปบอกพ่อกับแม่ด้วย ถ้าไม่ได้แต่งกับสัตตุกะ ฉันจะฆ่าตัวตาย” นางทาสีแทบจะเป็นลม ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ นางลนลาน รีบร้อนออกมา แล้วแจ้นไปรายงานให้ท่านเศรษฐีและภรรยาทราบ

เมื่อผู้เป็นพ่อและแม่เข้ามาในห้อง ภาพที่เห็นคือลูกสาวสุดที่รักนอนคว่ำหน้าร้องไห้อยู่บนเตียง คร่ำครวญถึงเจ้าโจรบ้านั่นราวกับคนเสียสติ 
“ลูกเอ้ย อย่าทำอย่างนี้เลย พ่อกับแม่จะจัดให้ลูกแต่งงานกับผู้ชายที่เสมอกัด้วยชาติตระกูล และทรัพย์สมบัตินะ”
“ใคร ๆ ลูกก็ไม่เอา ลูกต้องการแต่สัตตุกะคนเดียวเท่านั้น วันนี้ถ้าเขาตายลูก ก็จะตายตามไปด้วย ลูกมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากเขา สัตดุกะเป็นชายคนเดียวเท่านั้น ที่ลูกต้องการได้เป็นสามี” สาวผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไม่พูดเฉย ๆ แต่ฟาดแข้งฟาดขา ไปบนที่นอนด้วย

สองสามีภรรยาพยายามยกเหตุผลมาหว่านล้อมชักจูง ว่าลูกจ๋าไอ้ที่ถูกที่ควรนั่น คนโดยทั่วไปเขาต้องทำกันอย่างไรบ้าง
นอกจากภัททาจะตีอกชกหัวไม่ฟังสิ่งใดแล้ว ยังทำท่าวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อจะจบ ชีวิตด้วยการกระโดดลงไป พ่อแม่ต่างกรีดเสียงด้วยความตกใจ กระโจนไปดึงตัวกลับ มาเป็นโกลาหล
ในที่สุด ทั้งพ่อและแม่ก็เห็นพ้องกันว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งสิ้นที่ตัวมีอยู่ จะหา ประโยชน์อะไรได้ ถ้าลูกสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจ จะต้องระทมทุกข์จนไม่อาจมีชีวิตอยู่ เศรษฐีรีบเปิดคลัง เอาเงินจำนวนมากห่อในผ้าจนมิดชิด แล้วติดตามราชบุรุษ ผู้ทำหน้าที่ควบคุมโจรไปจนทัน ด้วยเงินจำนวนมากขนาดนั้น ทำให้ราชบุรุษยอมทุจริตต่อหน้าที่ !


สัตตุกะแสนจะประหลาดจิตที่มีคนถูกประหารแทนเขา
นอกจากจะได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว เขายังถูกนำตัวแอบซ่อนมาส่งที่ คฤหาสน์ใหญ่โตหลังหนึ่ง ได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาด สวมเสื้อผ้าแพรพรรณ อย่างดีที่จัดวางไว้ให้
ภัททาตื่นเต้นมาก นางบรรจงตกแต่งร่างกายอย่างเต็มที่ด้วยเครื่องประดับมีค่า ทั้งมวล อยากให้ตนเองดูสวยที่สุดในสายตา และเพี่อให้เขาเกิดความ พึงพอใจ สาวน้อยถึงกับลงทุนเป็นผู้ยกถาดอาหารแทนนางทาสีและคอยนั่งอยู่ข้าง ๆ  ปรนเปรอให้เขาได้รับความสะดวกสบายในขณะรับประทาน
ช่วงเวลา ๒-๓วันที่ผ่านมา ภัททารู้สึกมีความสุขที่สุด ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ อะไรที่นางเอ่ยปากอยากได้ พ่อกับแม่เป็นต้องรีบหามาให้ ไม่เคยเลยสักครั้งที่นาง ต้องการอะไรแล้วจะไม่ได้ดังปรารถนา แต่ในจำนวน “สิ่งของ” ทั้งหมดที่พ่อแม่สรรหามาให้นั้น สัตตุกะคือสิ่งที่ภัททาชอบอกชอบใจที่สุต
แล้วช่วงเวลา ๒ - ๓ วัน สำหรับสัตตุกะล่ะเป็นอย่างไร กัททามีโอกาสรู้หรือเปล่า หรือนางมัวสนใจแต่ความรู้สึกของตนเอง อารมณ์หลงนั้นครอบงำจนมองไม่ออก และไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิดมหาโจรที่นางช่วยชีวิตและนำมากอดกกอยู่ทุกคืนนี้ หัวสมองของเขาไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้เห็นความน่ารัก ความภักดีที่ภรรยามีต่อตน หรือเห็นว่าชีวิตอันแสนบรมสุขในคฤหาสน์หลังนี้เป็นสิงที่ใครก็ตามเมื่อได้ครอบครองแล้วไม่ควรจะปล่อยให้หลุดลอยไป
           สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวของสัตตุกะขณะนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ เครื่องประดับอันมีค่าที่นางภัททาสวมใส่อยู่เสมอนั่นแหละ ราคาของมันคงจะมากพอให้เขาใช้ดื่มกินในโรงสุราได้อย่างสบายและซื้อหานางคณิกามาแนบกายได้อีกนาน
มหาโจรเริ่มแผนชั่วในใจ โดยทำเป็นนอนซมอยู่แต่บนเตียง และไม่ยอมกินอาหาร
“พี่สัตตุกะ ไม่สบายหรือเปล่าจ๊ะ ทำไมไม่กินอาหารที่น้องจัดไว้ให้ สัตตุกะ ทำท่าซึมเซื่อง ปล่อยให้ภัททาถามไปมาหลายหนจึงอิดเอื้อนตอบว่า
“วันที่พี่ถูกจับนั่น พี่บนบานต่อเทวดาซึ่งสถิตบนภูเขาทิ้งโจร แล้วน้องก็มาช่วยพี่ ด้วยอานุภาพของเทวดา แต่จนบัดนี้พี่ยังไม่ได้แก้บนเลย พี่รู้สึกไม่สบายใจมาก’’
“โถ เรื่องแค่นี้ อย่ากลุ้มใจไปเลยจ้ะ น้องจะเตรียมเครื่องบวงสรวงแก้บนให้ พี่สัตตุกะต้องการอะไรก็ขอให้บอกมาเถิด”
มหาโจรแสนจะลิงโลดใจ อะไรมันจะง่ายดายขนาดนี้เขาบอกนางว่าต้องการแค่ข้าวมธุปายาส ดอกไม้สด ข้าวตอก ข้าวเปลือก ถั่ว งา แต่มีข้อแม้อยู่ข้อหนึ่งคือนางจะต้องแต่งตัวให้สวยที่สุด และประดับประดาอย่างเต็มที่เพื่อเข้าพิธีบวงสรวงนี้
ภัททาผู้อ่อนต่อโลกและเอาแต่ใจตัว รีบกระทำตามทันที
เมื่อไปถึงเชิงเขา สัตตุกะบอกให้ภรรยาสั่งข้าทาสที่ติดตามมาให้กลับไปให้หมด งานอันสำคัญยิ่งนี้ตัวเขาและนางเท่านั้นที่จะกระทำด้วยกัน
ภูเขาทิ้งโจรนี้ฝั่งหนึ่งจะเป็นหน้าผาที่สูงชันมาก ใช้ประหารนักโทษโดยการผลัก ให้ตกลงมาตาย
ภัททาเดินขึ้นมาถึงยอดเขาอย่างมีความสุข ไม่สนใจความเหนื่อยหอบที่เกิดขึ้น นางหัวร่อระริกระรื่นมาตลอดบาง ไม่ผิดอะไรกับแมลงเม่าที่ล้อเล่นอยู่กับกองไฟอย่างโง่งม
เมื่อเห็นสามีผู้เป็นที่รักนิ่งเฉย และมองจ้องมาด้วยสายตายมึงทึง กัททาก็เอ่ยขึ้นว่า “ทำไมพี่เฉยอยู่ ไม่มาทำพลีกรรมละจ้ะ”
สัตตุกะแสยะยิ้ม ตอบว่า
“พลีกรรมอะไร ฉันไม่ได้มาที่นี่เพี่อจะทำพลีกรรม สิ่งที่ฉันต้องการคือ ให้เธอถอดเครื่องประดับออก แล้วกระโดดหน้าผานี้ลงไปซะ ถ้าหากทำไม่ได้ ฉันจะช่วย"
ภัททารู้ด้วยสัญชาตญาณจากท่าทีของสัตตุกะ ว่านางกำลังเผชิญกับวิบากอันใหญ่หลวงแล้ว แต่แสร้งฝืนใจกล่าวว่า
“พี่สัตตุกะจ๋า ตัวน้องและเครื่องประดับของน้อง ย่อมเป็นของ ๆ พี่อยู่แล้ว ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะจ๊ะ” นางพยายามหว่านล้อมต่าง ๆ นานา ให้มหาโจรเปลี่ยนใจที่ จะทำทารุณกับนางโจรสัตตุกะชักรำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อย่าพูดพล่ามไปเลย นางตัวดี ถึงอย่างไรฉันก็ต้องฆ่าแก ไม่อย่างนั้นแกก็จะ เอาเรื่องนี้ไปบอกไอ้เศรษฐีพ่อแม่ของแก แล้วความเดือดร้อนก็จะมาถึงฉันในภายหลัง” ภัททาคิดว่า กรรมหนนี้ช่างหนักหนานัก ขึ้นชื่อว่าปัญญาย่อมมิได้มีเอาไว้แกงกิน แต่มีไว้ให้พาตัวรอด ไม่มีใครช่วยเราได้อีกแล้วนอกจากตัวเราเอง นางทำให้น้ำตาพรากออกมาเป็นสาย แล้วพูดว่า
“พี่สัตตุกะ ตอนที่พี่จะถูกประหารนั้น น้องได้ขอให้มีการไถ่ชิวิดก็เพราะ ความรักอย่างมากมายที่มีต่อพี่ แล้วตอนนี้ถึงแม้พี่จะเอาชีวิตน้องก็จำยอม ขออย่างเดียวให้น้องได้กราบเท้าและสวมกอดพี่ เพี่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมจ๊ะ"
ขอเพียงแค่นี้ ทำไมสัตตุกะจะให้ไม่ได้ ภัททาจึงหมอบลงกับพื้นกราบแทบเท้า แล้วเดินประทักษิณาเวียนขวามหาโจรเพี่อแสดงความเคารพ ในรอบที่สามซึ่งเป็นรอบ


สุดท้ายนั่นเอง นางค่อย ๆ สวมกอดสัตตุกะจากทางด้านหลัง ซบใบหน้าลงสะอึกสะอื้นกับแผ่นหลังของชายชั่ว กล่าวคำบอกลาที่อ่อนหวานคร่ำครวญ พอมหาโจร เผลอนางก็รวบรวมกำลังกายทั้งหมดที่มี ผลักเจ้าโจรใจหยาบลอยละลิ่วลงจากยอดเขา มันร้องโหยหวนด้วยความตกใจสุดขีด จนกระทั้งร่างกระแทกแหลกเหลว อยู่กับพื้นเหวเบื้องล่าง
ภัททาเข่าอ่อนทรุดกายลง นางก้มหน้าร้องไห้กับฝ่ามือทั้งสอง เนื้อตัวสันสะท้าน คิดถึงอ้อมอกของพ่อแม่ยิ่งนัก นึกถึงความดื้อรั้นเอาแต่ใจของตัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ให้บทเรียนที่เจ็บปวดแสนสาหัสและราคาแพง นางคิดว่ามันสาสมแล้วกับการกระทำที่ ไม่มีลูกผู้หญิงคนไหนเขาทำกัน
ภัททาค่อย ๆ ปลดเครื่องประดับออกวาง นี่น่ะหรือสิ่งที่นางเคยให้ค่า นี่น่ะหรือสิ่งที่เคยทำให้มีความสุข เจ้าสิ่งนี้ใช่ไหมที่ทำให้นางเกือบด้องสังเวยชีวิตเพราะมัน นางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะออกแสวงหาความจริงของชีวิต ไม่อาจกลับไปเพื่อสู้หน้าพ่อกับแม่ได้ ภัททาหันหลังก้าวเดินออกจากที่นั่น ทิ้งเครื่องประดับทั้งหลายให้เรี่ยรายกองอยู่กับดิน
บัดนี้ สำหรับนางแล้ง วัตถุเหล่านั้นมีค่าน้อยกว่าเม็ดทรายที่ใช้สร้างบ้านเสียอีก


หญิงผู้ชอกช้ำเข้าพักพิงที่สำนักนิครนถ์แห่งหนึ่ง และขอบวชเป็นนิครนถ์ นาง ขอร้องให้ทำพิธีบวชด้วยวิธีการใช้เม็ดตาลผ่าซีกถอนผมจนเกลี้ยงศีรษะ ต่อมาผมที่ งอกขึ้นใหม่มีลักษณะขดหยิกเป็นวงกลม จึงถูกขนานนามว่า “กุณฑลเกสา”
กัททานั้น พื้นฐานเดิมเป็นผู้ที่มีปัญญาหลักแหลม ยิ่งผ่านความทุกข์ในชีวิตมา อย่างนี้ นางจึงเลือกศึกษาวิชาวาทะพันหนึ่งของพวกนิครนถ์ เพียงไม่นานก็เรียนวิชา จบลงอย่างเร็ว
ปริพาชก ในสำนักกล่าวกับนางว่า
“ศิลปะนี้ ท่านได้เรียนจบแล้ว จงเที่ยวไปในชมพูทวีปแสวงหาผู้ที่สามารถโต้วาทะกับท่านได้ หากพบผู้ที่สามารถจริง ๆ ถ้าเขาเป็นคฤหัสถ์ท่านจงเป็นบาทบริจาริกา ของเขา แต่หากเป็นบรรพชิต ก็จงบรรพชาในสำนักของผู้นั้นเถิด”
นางจึงจาริกไปพร้อมด้วยกิ่งหว้าในมือ ไปถึงบ้านไหนตำบลไหนก็ก่อกองทราย ขึ้นปักกิ่งหว้านั้นลงไป ประกาศว่า “ผู้ใดสามารถโต้วาทะกับเรา จงเหยียบกิ่งหว้านี้" ความอาจหาญของสตรีเยี่ยงนางเป็นที่รำลือไปทั่ว แต่ยังหาใครแม้สักคนที่จะตอบโต้
(๑ การใช้เม็ดตาลผ่าซีกถอนผม * ถือเป็นขั้นสำคัญสูงสุดในการบวชของศาสนานิครนถ์ (ศาสนาเชน)
ผู้บวชต้องมีความอดทนสูงมาก เนื่องจากวิธีการถอนผมแบบนี้ก่อ ให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน

ปริพาชก      นักบวชชายนอกพระพุทธศาสนาพวกหนึ่งในชมพูทวีป ชอบสัญจรไปในที่ต่าง ๆ สำแดงทรรศนะทางศาสนาปรัชญาของตน ถ้าเป็น หญิงเรียกปริพาชิกา)
ปัญหาได้ทัดเทียมนางก็ไม่มี จนกระทั่งนางเดินทางมาถึงกรุงสาวัตถี ลงมือก่อกองทรายไว้ใกล้ประตูเมือง ปักกิ่งหว้าไปบนนั้น พร้อมทั้งเปล่งวาจาท้าทาย แล้วเดินทางไปเพื่อภิกษาเวลานั้นท่าน พระสารีบุตร” กลับจากบิณฑบาต ผ่านมาเห็นกิ่งหว้านี้ก็เข้าใจ ท่านบอกให้เด็ก ๆ ที่กำลังเล่นอยู่แถวนั้นขึ้นไปเหยียบกิ่งหว้าเสีย พวกเด็กก็โห่ร้องเหยียบกิ่งหว้าและกองทรายจนราบ เมื่อนางปริพาสิกากลับมาเห็นเข้า จึงสอบถามกับพวกเด็ก พอได้ความว่าพระสารีบุตรเถระสั่งให้ทำก็บังเกิดความลิงโลดใจนัก ป่าวประกาศให้ผู้คนที่สนใจติดตามนางไปยังสำนักของพระเถระ เพี่อฟังการโต้วาที
ตอนที่นางไปถึงนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้ว ชาวเมืองลือกระฉ่อนถึงการพบกัน ระหว่าง ๒ บัณฑิต เลยแห่กันมาฟังมากมาย การโต้วาทีเริ่มขึ้นโดยฝ่ายนางปริพาสิกา เป็นผู้ถาม ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้ตอบ ปัญหาอะไร ๆ ที่นางถามขึ้นมานั้นแม้จะยาก แสนยาก แต่พระเถระสามารถตอบได้อย่างกระจ่างแจ้ง ในที่สุดนางก็หมดคำถาม ท่านพระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า “ท่านถามปัญหาเราเป็นอันมาก ตอนนี้เราขอถาม ท่านบ้าง” เมื่อนางปริพาสิกานิ่งฟัง ท่านจึงถามว่า “ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเราต้องการ ดับทุกข์ เราควรจะหนีทุกข์หรือสู้หน้ากับทุกข์ดี” ปริพาสิกาใคร่ครวญแล้วตอบว่า “ความทุกข์เปรียบเหมือนไฟ เราจึงควรหนี ถ้าไม่หนี ไฟก็จะไหม้เรา" “ถ้าเช่นนั่น อาตมาจะขอถามต่อไปว่า ถ้าความทุกข์นั้นมีอยู่ในตัว อยู่ในจิตใจ ของท่านเอง ท่านจะหนีอย่างไร โดยไม่นำความทุกข์นั้นไปด้วย’’ปริพาชิกาตอบว่า “เราต้องสู้หน้า แล้วหาทางดับทุกข์ต่อไป"“อาตมาอยากฟังว่า ทางดับทุกข์ของท่านคืออะไร”“ถ้าเป็นทุกข์ภายนอกเราพยายามหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเป็นทุกข์ภายในเราหาวิธี แก้ไขหรือปลอบใจเป็นเรื่อง ๆ ไป”
“น้องหญิง เป็นอันรวมความว่า วิธีการดับทุกข์นั้นคือไปหาเอาข้างหน้า แล้ว แต่ทุกข์จะเกิดขึ้นในลักษณะอย่างไร ใช่ไหม นั้นเป็นการแก้ที่ผลไม่ใช่การแก้ที่เหตุ บัดนี้ ขอท่านจงตั้งใจฟัง อาตมาจะกล่าวถึงวิธีดับทุกข์ในศาสนาแห่งพระบรมศาสดาของอาตมา พระองค์ทรงสอนว่า ถ้าจะดับทุกข์ ให้ดับที่ต้นเหตุของทุกข์ เมื่อตัดเหตุได้แล้ว ผลก็จะ ไม่เกิดขึ้นอีก แนวทางดับทุกข์นั้นเรียกว่า มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นการปฎิบัติสายกลาง...” ท่านพระสารีบุตรเถระ ได้อธิบายขยายว่าเหตุแห่งทุกข์คืออะไร อยู่ที่ไหน และอธิบายถึงหนทางดับทุกข์โดยสังเขป นางปริพาสิกาฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาใน พระเถระเป็นอย่างมาก

“น้องหญิง อาตมาขอถามปัญหาอีกเพียง ๑ ข้อ อะไรมีชื่อว่าหนึ่ง’’ นาง ปริพาสิกาอีกอัก เมื่อตอบไม่ได้จึงขอให้ท่านเฉลย
“พุทธมนต์ หรือปัญญาของพระพุทธเจ้าชื่อว่าหนึ่ง” พระเถระตอบ พร้อมทั้ง ขยายความให้ฟังด้วยเหตุและผล
“ขอท่านจงให้พุทธมนต์นั้นแก่ดิฉันบ้างเถิด”
“หากท่านเป็นเช่นเรา เราจะให้”
“ถ้าเช่นนั้น ดิฉันจะบรรพชา”
ตกเวลาเย็น นางได้เดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่มหาวิหารเชตวัน ซึ่งเป็น เวลาที่พระพุทธองค์เสด็จออกมาแสดงธรรมโปรดชาวสาวัตถี เมื่อไปถึงนางกราบถวาย บังคมแล้วได้ยืนฟังธรรมอยู่ในที่อันควร
พระผู้มิพระภาคเพื่อจะทรงแสดงธรรมให้ถูกกับอุปนิสัยของนาง ตรัสว่า
“คาถาแม้หนึ่งพันคาถา แต่ไม่ประกอบด้วยบทอันเป็นประโยชน์ คาถานั้นไม่ประเสริฐ
คาถาเพียงบทเดียว เมื่อบุคคลฟังแล้ว สงบระงับได้ คาถาบทเดียวนั้นประเสริฐกว่า
ผู้ใดชนะหมู่มนุษย์ในสงครามจำนวน ๑,๐๐๐ คน คูณด้วย ๑,๐๐๐ คนผู้นั้น หาชื่อว่าเป็นยอดแห่งผู้ชนะไม่
ส่วนบุคคลใด ชนะตนเอง (ชนะกิเลส) ผู้เดียว
ผู้นั้นแล เป็นยอดแห่งผู้ชนะในสงคราม”


สิ้นพุทธวาจา นางได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งนับเป็นอริยบุคคลชั้นสูงสุดใน พระพุทธศาสนา เมื่อบรรพชาแล้วท่านได้นามว่า พระกุณฑลเกสาเถรี
พระผู้มีพระภาคทรงตั้งพระภัททากุณฑลเกสาเถรีไว้ในตำแหน่งอันเลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลายในทางตรัสรู้เร็วพลัน
(๑ พระอรหันต์ * เป็นผู้ไกลจากกิเลสและบาปธรรม ทรงความบริสุทธิ์ หรือเป็นผู้กำจัดข้าศึกคือกิเลสสิ้น แล้ว หรือเป็นผู้หักกรรมแห่งสังสารจักรอันได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม หรือ เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอน เป็นผู้ควรรับความเคารพ ควรแก่ทักษิณา และการบูชาเป็น พิเศษ หรือเป็นผู้ไม่มีข้อลับ คือไม่มีข้อเสียหายอัมควรปกปิค)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น