วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

บำรุงใจให้งอกงาม

       บำรุงใจให้งอกงาม
ทันทีที่สงครามในกัมพูชายุติเมื่อสิบกว่าปีก่อน การฟื้นฟูบูรณะประเทศก็เริ่มขึ้น มีอาสาสมัครและหน่วยงานจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้าไปช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก พระญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้รับเงินบริจาคจากผู้มีนํ้าใจจำนวนหลายล้านบาท และได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชาด้วยตนเอง เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
ท่านเล่าว่าได้ไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท ภาพที่เห็นมีแต่ศาลาโทรม ๆ หลังหนึ่ง นักเรียนทุกชั้นต้องเรียนอยู่ใต้ชายคาเดียวกันโดยไม่มีฝากั้นห้อง อุปกรณ์การเรียนการสอนก็ขาดแคลน เมื่อท่านพบครูใหญ่ก็ได้เล่าความประสงค์ และถามว่า โรงเรียนอยากได้รับความช่วยเหลืออะไรบ้าง ในใจนั้นท่านคิดว่าสิ่งที่โรงเรียนนี้ต้องการ มากที่สุดก็คือ สมุด ดินสอ โต๊ะ เก้าอี้ และอาคารเรียนที่ดีกว่าเดิม
แต่คำตอบที่ได้จากครูใหญ่ก็คือ โรงเรียนอยากได้พันธุ์ไม้ดอก !

ท่านรู้สึกแปลกใจกับคำตอบ เมื่อซักถามครูใหญ่ ก็ได้คำตอบว่า เด็ก ๆ เหล่านี้ เกิดและเติบโตท่ามกลางสงครามพบเห็นแต่การทำลายล้าง สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยความหดหู่ ทำให้จิตใจของเด็กหดหู่หมองเศร้าไปด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เด็กเหล่านี้ ต้องการอย่างมากก็คีอ สภาพแวดล้อมที่สดใส ที่จะช่วยให้จิตใจเบิกบาน ถึงตอนนั้นแล้ว เด็กก็คงพร้อมที่จะเรียน ด้วยเหตุนี้โรงเรียนจึงอยากได้พันธุ์ไม้ดอกมาปลูกให้ทั่วโรงเรียม เพื่อสร้างบรรยากาศให้สดใส
ท่านได้ฟังแล้วก็เห็นด้วย ขณะเดียวกันก็รู้ถึกละอายใจที่นึกถึงแต่วัตถุ ทั้งๆ ที่ เป็นนักบวช แต่กลับลีมความต้องการทางด้านจิตใจ ซึ่งเป็นมิติที่สำคัญของทุกชีวิต
ก่อนกลับไปญี่ปุ่น ท่านได้ดำเนินการจัดส่งพันธุ์ไม้ดอกไปให้โรงเรียนแห่งนั้น ต่อมาครูใหญ่ได้เขียนจดหมายมาเล่าว่าเดี๋ยวนี้ดอกไม้บานสะพรั่งไปทั้งโรงเรียน เด็ก ๆ ร่าเริงกว่าเดิม และเขายังได้เก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อแจกให้โรงเรียนอื่นต่อไป
ไม่ใช่พระญี่ปุ่นท่านนั้นที่คิดถึงแต่วัตถุ ใครต่อใครก็คิดทำนองนั้นเช่นกัน มองให้กว้างอีกนิด เราไม่ได้คิดถึงแต่การช่วยเหลือด้วยวัตถุในยามที่เห็นคนเดือดร้อนเท่านั้น แม้กับตัวเราเอง ใช่หรือไม่ว่าเราก็มักนึกถึงแต่การแสวงหาวัตถุ หรือมัวใส่ใจ กับความต้องการทางกาย ขณะที่ความต้องการทางต้านจิตใจถูกมองข้ามไป
เวลานึกถึงความสำเร็จของชีวิต ผู้คนส่วนใหญ่นึกถึงความมั่งคั่ง ร่ำรวย มี บ้าน รถยนต์ และเพชรนิลจินดา แม้อยากมีตำแหน่งหน้าที่สูง ๆ หริอประสบความ สำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ในใจก็มักจะนึกไปถึงสมบัติอัครฐานที่จะตามมาด้วย เวลา ตั้งจิตอธิษฐาน เราหวังอะไรหากไม่ใช่ขอให้ร่ำรวยหรือถูกหวย พรใดจะเป็นที่นิยม มากไปกว่าคำว่า “บ้านนี้อยู่แล้วรวย”  ลองพิจารณาดูชีวิตประจำวัน เราให้เวลาเกีอบทั้งวันกับการตอบสนองความ ต้องการทางกาย แต่มีเวลาน้อยมากสำหรับความต้องการทางจิตใจ ในขณะที่เราใช้ เวลาเป็นชั่วโมง ๆ กับการถูฟัน อาบนํ้าเพื่อชำระร่างกายให้สะอาด แต่แทบไม่มีเวลา สำหรับการชำระจิตใจให้สดใส เราใช้เวลากับการขจัดสิ่งสกปรกและของเสียออกไปจาก ร่างกาย แต่ไม่ค่อยสนใจกับการขจัดปฎิกูลออกไปจากจิตใจ เราเสียเวลาวันละหลาย ชั่วโมงกับการทำงานหาเงินเพื่อซื้ออาหาร เสื้อผ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกมาปรนเปรอตกแต่งร่างกาย แต่เราให้เวลาเท่าใดสำหรับการบำบัดความต้องการทางจิตใจ เรามีเวลาสำหรับการพักผ่อนกายถึง ๑ ใน ของวัน แต่มีเวลาน้อยมากสำหรับการพักใจ แม้มีความพยายามที่จะผ่อนคลายจิตใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการปรนเปรอกายด้วยสิ่งเสพสิ่งเร้าทางอายตนะทั้ง  ซึ่งบ่อยครั้งทำให้จิตเหนื่อยอ่อน ยิ่งกว่าเดิม
จิตใจเป็นส่วนสำคัญของชีวิตที่มิอาจละเลยได้ แม้จะมองไม่เห็นหรืออยู่ภายใน แต่ก็เช่นเดียวกับรากที่ต้นไม้ไม่อาจขาดได้ ต้นไม้ไม่อาจแทงยอดหรีอแผ่กิ่งก้านสาขา ออกไปได้หากรากอ่อนแอ ด้นไม้ที่สูงใหญ่ล้วนมีรากที่แข็งแรงและหยั่งลึก ยิ่งสูงเท่าไรก็ ยิ่งด้องการรากที่หยั่งลึกมากเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตไม่อาจเจริญงอกงาม และ หน้าที่การงานไม่อาจก้าวหน้าอย่างยั่งยืนได้ หากขาดรากฐานที่มั่นคงและ ลุ่มลึกทางจิตใจ
แม้จะมั่งคั่งร่ำรวยเพียงใด แต่ถ้าจิตใจเต็มไปด้วยความเครียดความวิตกกังวล ทรัพย์สมบัติก็ไม่มีความหมาย แม้จะมีหน้าที่การงานสูงเด่น แต่ถ้าจิตใจไม่มั่นคง การงานเหล่านั้นก็กลับจะทำให้เป็นทุกข์มากขี้น เพราะไม่เพียงแต่กลายเป็นภาระที่ต้อง แบกรับเท่านั้น หากยังชักนำเอาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเข้ามา เพียงแค่ลมปากหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็สามารถทำให้ทุกข์ใจได้เป็นวันเป็นเดือน ยิ่งงานการต้องประสบกับ ความล้มเหลวด้วยแล้ว ชีวิตก็แทบจะไร้ค่าไปเลย
จิตใจนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิต แต่ความสำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่การเป็น แค่รากฐานที่รองรับความสำเร็จทางวัตถุหรือหนุนส่งความเจริญก้าวหน้าทางการงานเท่านั้น หากยังเป็นแก่นแกนแห่งความหมายและคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นตัวชี้ขาดความสำเร็จในชีวิต เป็นเศรษฐีหมื่นล้าน หรือเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ หาความสุขไม่ได้ในจิตใจ ชีวิตก็ไร้ความหมาย ตรงกันข้ามแม้จะหาเช้ากินค่ำ หรือเป็น ชาวนาชาวไร่ แต่มีใจที่เปี่ยมสุข ชีวิตนี้ก็คุ้มค่ากับการเกิดมาในโลก
ใจที่เปี่ยมสุขนั้น มีเงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม เมื่อใจเปี่ยม สุขแล้ว มีเท่าไรก็สามารถให้ใด้โดยไม่หวงแหน เพราะชีวิได้พบสิ่งที่ด้องการแล้ว มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า ขณะที่เดินทางกลางหุบเขา หญิงชราผู้หนึ่งได้พบอัญมณีสวยสด ในลำธาร วันต่อมาเธอได้พบชายผู้หนึ่งกลางทาง ท่าทางหิวโหยมาก เธอจึงเปิดกระเป๋า และหยิบอาหารมาแบ่งให้ ชายผู้นั้นเห็นอัญมณีเปล่งประกายแวววาว เกิดอยากได้ ขี้นมาจึงขอจากหญิงชรา หญิงชราหยิบให้โดยไม่ลังเล ยายผู้นั้นจากไปด้วยความดีใจ อย่างยิ่งเพราะรู้ว่าอัญมณีเม็ดนี้จะทำให้เขาสบายไปทั้งชีวิต แต่ไม่กี่วันต่อมาเขาก็กลับมา และคืนอัญมณีนั้นให้แก่หญิงชรา  
 '‘ทำไมล่ะ ?” หญิงชราถามเขาตอบว่า 
“ผมมาคิดดูแล้ว อัญมณีนี้มีค่ามากก็จริง แต่ผมอยากได้สิงที่มีค่า มากกว่านั้นจากยาย"
“อะไรล่ะ ?"
“สิ่งที่อยู่ในใจยาย ที่ทำให้ยายมอบอัญมณีนั้นแก่ผมได้ไงล่ะ,,
ใจที่เปี่ยมสุขคือใจที่พร้อมจะให้ ไม่คิดครอบครอง เป็นจิตที่ไม่ดิ้นรนแสวงหา อีกต่อไป เพราะค้นพบสิ่งทื่เป็นสารัตถะของชีวิตแล้ว ด้วยเหตุนี้การสูญเสียทรัพย์สมบัติ พลัดพรากจากแก้วแหวนเงินทอง เสื่อมจากชื่อเสียงเกียรติยศ จึงไม่อาจสร้างความทุกข์ ให้แก่จิตใจได้ ทำให้ชีวิตพร้อมจะเผชิญกับความผันผวนปรวนแปรอันเป็นธรรมดาโลก ได้อย่างไม่หวั่นวิตก ไม่ว่าจะได้หรือเสีย ก็ไม่หวั่นไหว จึงเป็นชีวิตที่อิสระอย่างแท้จริง
จิตใจเช่นนี้แน่นอนย่อมไม่อาจได้มาด้วยวัตถุสิ่งเสพ วัตถุสิ่งเสพเช่นปัจจัย ๔ นั้น อาจจะช่วยให้จิตใจเช่นนี้เกิดขึ้นได้ง่าย แต่ถึงที่สุดแล้วต้องได้มาจากการสั่งสมบ่มเพาะ คุณภาพจิต ด้วยการดูแลกล่อมเกลาจิตใจ นั่นหมายถึงการให้เวลากับจิตใจของตนเองมากขี้น และทำให้กลมกลืนสม่ำเสมอจนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต
ร่างกายจะเป็นสุขได้ต่อเมื่อได้รับอาหารและการพักผ่อนที่พอเพียง ส่วนจิตใจ นั้นจะเป็นสุขได้เมื่อได้รับความสงบเย็นและคุณงามความดีเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
คุณงามความดีนั้น มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “บุญ” หรือ “กุศล” คุณงาม ความดีนั้นไม่ว่าจะกระทำด้วยกาย เช่น การแบ่งปัน เสียสละ หรือด้วยวาจา เช่น การพูดด้วยความสัตย์จริง มีวจีไพเราะ หรือด้วยใจ เช่น ความปรารถนาดี มีเมตตา หรือการทำสมาธิภาวนา ล้วนเป็นการบ่มเพาะใจให้เจริญงอกงาม ถึงพร้อมด้วยความสะอาด สงบ และสว่าง เป็นหนทางลัดตรงสู่ชีวิตที่งดงาม และผาสุก
การทำจิตใจให้เจริญงอกงาม จนถึงซึ่งความสุขนั้น เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตที่ดีงาม ไม่ว่าเราจะต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ หรือทำกิจการงานมากมายเพียงใด สิงที่ไม่ ควรให้ขาดหายไปจากชีวิตก็คือการบ่มเพาะจิตใจให้งอกงาม
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คำถามหนึ่งที่ควรถามกับตนเองก็คือ การกระทำนั้น ๆ ซ่วยให้จิตใจเราเจริญงอกงาม สงบเย็น และเป็นสุขหรือไม่เพียงใด
หรือว่ามันช่วยให้เรามีเงินมากขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยให้ จิตใจเป็นสุขหรือมีความสงบอย่างแท้จริงเลย – จบ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น