ว่างในสมาธิ ว่างในขั้นอรูปธรรม ว่างอกาลิโก..
หนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๒๕๖
“...ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เมื่อปัญญาพิจารณารอบคอบแล้ วก็ดับไปในขณะนั้น จิตก็ลงสู่ความสงบได้อย่างเ ต็มที่ ในระยะเช่นนี้จะว่าจิตว่างก็ได้อยู่ แต่ว่างในสมาธิ พอจิตถอยออกมา ความว่างก็หายไป จากนั้นก็พิจารณาไปอีก และพิจารณาต่อไปเรื่อยๆ จนจิตมีความชำนาญในด้านสมาธิ..ฯลฯ.. เมื่อสมาธิมีกำลังทางด้านปั ญญาก็เร่งพิจารณาตามส่วนต่า งๆ ของร่างกาย จนรู้เห็นชัดและสามารถถอดถอนอุปาทานของกายได้โดยสิ้นเชิง จากนั้นจิตก็จะเริ่มว่าง แต่ยังไม่แสดงความว่างอย่าง เต็มที่ ยังมีนิมิตภายในแสดงภาพปราก ฏอยู่กับใจ เพราะในระยะนี้ใจว่างจากกาย และวัตถุภายนอก แต่ยังไม่ว่างจากนิมิตภายใน ของตัวเอง จนกว่าจะมีความชำนาญโดยอาศั ยการฝึกซ้อมไม่ลดละ นิมิตภายในใจก็นับวันจางไป
สุดท้ายก็หมด ไม่ปรากฏนิมิตทั้งภายนอกภาย ในใจ นั่นท่านก็เรียกว่าจิตว่าง ว่างชนิดนี้เป็นเรื่องว่างป ระจำนิสัยของจิต ที่มีภูมิธรรมประจำขั้นแห่ง ความว่างของตน นี่ไม่ใช่ว่างสมาธิ และไม่ใช่ว่างในขณะที่นั่งส มาธิ ขณะที่นั่งสมาธิเป็นความว่า งของสมาธิ แต่จิตที่ปล่อยวางจากร่างกา ยเพราะความรู้รอบด้วยนิมิตภ ายในก็หมดสิ้นไป เพราะอำนาจของสติปัญญารู้เท่าทันด้วย นี่แลชื่อว่าว่างตามฐานะของ จิต เมื่อถึงขั้นนี้แล้วจิตว่าง จริง ๆ แม้กายจะปรากฏตัวอยู่ก็สักแ ต่ความรู้สึกว่ากายมีอยู่เท่านั้น แต่ภาพแห่งกายหาได้ปรากฏเป็ นนิมิตภายในจิตไม่ ว่างเช่นนี้แลเรียกว่า ว่างตามภูมิของจิต และมีความว่างอยู่อย่างนี้ป ระจำ ถ้าว่างเช่นนี้ว่าเป็นนิพพา น ก็เป็นนิพพานของผู้นั้น หรือของจิตชั้นนั้น แต่ยังไม่ใช่นิพพานว่างของพ ระพุทธเจ้า
ถ้าผู้จะถือสมาธิเป็นความว่ างของนิพพาน ในขณะจิตที่ลงสู่สมาธิก็เป็ นนิพพานของสมาธิแห่งโยคาวจร ผู้ปฏิบัติผู้นั้น เสียเท่านั้น ความว่างทั้งสองประเภทที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เป็นนิพพานว่ างของพระพุทธเจ้า เพราะเหตุใด เพราะจิตที่มีความว่างในสมา ธิ จำต้องพอใจและติดในสมาธิ จิตที่มีความว่างตามภูมิของ จิต จำต้องมีความดูดดื่มและติดใ จในความว่างประเภทนี้ จำต้องถือความว่างนี้เป็นอา รมณ์ของใจจนกว่าจะผ่านไปได้ ถ้าผู้ถือความว่างนี้ว่าเป็ นนิพพาน ก็เรียกว่าผู้นั้นติดนิพพาน ในความว่างประเภทนี้โดยเจ้า ตัวไม่รู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ความว่างปร ะเภทนี้จะจัดว่าเป็นนิพพานไ ด้อย่างไร
ถ้าไม่ต้องการนิพพานขั้นนี้ ก็ควรกาง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณออกตรวจตราดูให้ชัดเจ นและละเอียดถี่ถ้วน เพราะความว่างที่กล่าวนี้เป็นความว่างของเวทนา คือสุขเวทนามีเต็มอยู่ในควา มว่างนั้น สัญญาก็หมายว่าง สังขารก็ปรุงแต่เรื่องความว่างเป็นอารมณ์ วิญญาณก็ช่วยรับรู้ทางภายใน ไม่เพียงจะรับรู้ภายนอก เลยกลายเป็นนิพพานของอารมณ์ ถ้าพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้ช ัดและความว่างให้ชัด โดยเห็นเป็นเรื่องของสังขาร ธรรม คือสิ่งผสมนั่นแล จะมีช่องทางผ่านไปได้ในวันห นึ่งแน่นอน เมื่อพิจารณาตามที่กล่าวนี้ ขันธ์ทั้งสี่และความว่างซึ่ งเป็นสิ่งปิดบังความจริงไว้ ก็จะค่อยเปิดเผยตัวออกมาทีล ะเล็กละน้อย จนปรากฏได้ชัด จิตย่อมมีทางสลัดตัวออกได้
แม้ฐานที่ตั้งของสังขารธรรม ที่เต็มไปด้วยสิ่งผสมนี้ ก็ทนต่อสติปัญญาไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งเกี่ยวโยงกัน สติปัญญาประเภทค้นแร่แปรธาตุจะฟาดฟันเข้าไป เช่นเดียวกับไฟได้เชื้อลุกล ามไปไม่หยุด จนกว่าจะขุดรากเหง้าของธรรม ผสมนี้ขึ้นได้เสียเมื่อใด เมื่อนั้นจึงจะหยุดการรุกกา รรบ เวลานี้มีอะไรที่เป็นข้าศึก ต่อนิพพานว่างตามแบบของพระพุทธเจ้า คือสิ่งที่ติดใจอยู่ในขั้นนี้และขณะนี้แลเป็นข้าศึก สิ่งที่ติดใจก็ได้แก่ความถื อว่าใจของเราว่างบ้าง สบายบ้าง ใสสะอาดบ้าง ถ้าจะเห็นว่าใจมันว่างแต่มั นอยู่กับความไม่ว่าง ใจมันเป็นสุข แต่มันอาศัยอยู่กับทุกข์ ใจใสสะอาด แต่มันอยู่กับความเศร้าหมอง โดยไม่รู้สึกตัว ความว่าง ความสุข ความใส นั่นแลเป็นธรรมปิดบังตัวเอง เพราะธรรมทั้งนี้คือ เครื่องหมายของภพชาติ
หนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๒๕๖
“...ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เมื่อปัญญาพิจารณารอบคอบแล้
สุดท้ายก็หมด ไม่ปรากฏนิมิตทั้งภายนอกภาย
ถ้าผู้จะถือสมาธิเป็นความว่
ถ้าไม่ต้องการนิพพานขั้นนี้
แม้ฐานที่ตั้งของสังขารธรรม
ผู้ต้องการตัดภพชาติจึงควรพิจารณาให้รู้เท่าและปล่อยวา งสิ่งเหล่านี้ อย่าหวงไว้เพื่อก่อไฟเผาตัว ถ้าปัญญาขุดค้นลงตรงที่สามจ อมกษัตริย์แห่งภพปรากฏอยู่ นั้นแล จะถูกองค์การใหญ่ของภพชาติแ ละจะขาดกระเด็นออกจากใจทันที ที่ปัญญาหยั่งลงถึงฐานของเข าตั้งอยู่ เมื่อสิ่งทั้งนี้สิ้นไปแล้ว เพราะอำนาจของปัญญา นั้นแลเป็นความว่างอันหนึ่ง เครื่องหมายของสมมุติใด ๆ จะไม่ปรากฏในความว่างนั้นเล ย นี่คือความว่างที่ผิดกับควา มว่างที่ผ่านมาแล้ว ความว่างประเภทนี้ เราจะว่าเป็นความว่างของพระ พุทธเจ้าหรือความว่างของใคร นั้น ผู้แสดงไม่สามารถจะเรียนให้ ทราบได้ว่า จะควรเป็นความว่างของใคร นอกจากจะเป็นความว่างที่รู้ เห็นกันอยู่ ด้วยสันทิฏฐิโกของผู้บำเพ็ญ เท่านั้น
ความว่างอันนี้ไม่มีกาลสมัย เป็นอกาลิโกอยู่ตลอดกาล ความว่างในสมาธิมีความเปลี่ ยนแปลงไปได้ ทั้งด้านความเจริญและความเสื่อม ความว่างในขั้นอรูปธรรม ซึ่งกำลังเป็นทางเดินก็แปรส ภาพหรือผ่านไปได้ แต่ความว่างในตนเองโดยเฉพาะ นี้ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เพราะตนไม่มีอยู่ในความว่าง นั้น และไม่ถือความว่างนั้นว่าเป็นตน นอกจาก ยถาภูตัง ญาณทัสสนัง เห็นตามเป็นจริงในหลักธรรมช าติแห่งความว่างนั้น และเห็นตามเป็นจริงในสภาวธร รมที่ผ่านมาเป็นลำดับ และที่มีอยู่ทั่วไปเท่านั้น แม้ศีล สมาธิ ปัญญาซึ่งเป็นธรรมเครื่องแก้ไขก็รู้เท่าและปล่อยวางไว้ ตามเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดจะเข้าไปแฝงอยู่ ในธรรมชาติแห่งความว่างในวา ระสุดท้ายนั้นเลย..
โปรดนำความว่างทั้งสามประเภ ทนี้ไปพิจารณา และพยายามบำเพ็ญตนให้เข้าถึ งความว่างทั้งสามนี้ เฉพาะอย่างยิ่งความว่างในวา ระสุดท้าย ซึ่งเป็นความว่างในหลักธรรม ชาติ ไม่มีผู้ใดและสมมุติใดๆ อาจเอื้อมเข้าไปทำการเกี่ยว ข้องได้อีกต่อไป ความสงสัยนับแต่ขั้นต้นแห่ง ธรรม จนถึงความว่างอย่างยิ่ง จะเป็นปัญหาที่ยุติกันลงได้ ด้วยความรู้ความเห็นของตนเป ็นผู้ตัดสินเอง…”
ความว่างอันนี้ไม่มีกาลสมัย
โปรดนำความว่างทั้งสามประเภ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น