วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม๕

เพราะไม่รู้จักตัวเอง จึงสร้างเครื่องบังตัวเองขึ้น
     ในกรณีที่กล่าวว่า "พระพุทธเจ้า (ตามทัศนะของผู้นั้น) เป็นเครื่องบังนิพพานเสียเอง" นั้น ถ้าเรามานึกกันดูให้ดีว่าได้บังไว้อย่างไรแล้ว  เราจะเห็นว่าเพราะไม่มีการรู้จักตัวเองอย่างถูกต้อง  จึงเกิดความต้องการพระพุทธเจ้าและสร้างพระพุทธเจ้าขึ้นด้วยตัณหาของตัวเอง
 ตามทัศนะของตัวเอง  หุ้มห่อตัวเอง  จนเหลียวไปทางไหนก็พบแต่สิ่งนี้  จนกระทั่งเป็นสัญญาแห่งอดีต  เหลือที่จะปัดเป่าออกไปได้.
     เมื่อใดมารู้จักตัวเองอย่างถูกต้อง  คือรู้จักความว่างจากตัวตน, เมื่อนั้นก็ไม่มีพระพุทธเจ้าไม่ว่าอย่างไหนหมด  ไม่มีผู้บัง  ไม่มีผู้ที่ถูกบัง, ไม่มีการแสวงหา  เพราะไม่มีผู้ที่มีความต้องการ.
     ถ้าเรามีความว่างจากตัวตนอย่างไร  พระพุทธเจ้าก็ควรจะมีความว่างจากตัวตนอย่างนั้น  ถ้าเรายังคลำตัวเราพบในลักษณะอย่างไร  เราก็คงคลำจนพบพระพุทธเจ้า (ตามทัศนะของเรา) ในลักษณะที่เข้ารูปกันได้อยู่เพียงนั้น.
     ถ้าเราคลำพบความว่างจากตัวตนของเราเมื่อใด  เราก็ต้องคลำพบความว่าจากตัวตนของพระพุทธเจ้าด้วยเมื่อนั้น  แล้วก็จะไม่มีตัวผู้ต้องการหรือสิ่งที่ต้องการ  ไม่มีผู้แสวงที่พึ่งและผู้ที่จะเป็นที่พึ่ง
     แต่ว่าตลอดเวลาที่คลำตัวเองไม่พบว่าได้แก่อะไรกันแน่  ก็ต้องมีการยึดถือ  เที่ยววิ่งตะครุบนั่นนี่ไปตามความยึดถือเป็นธรรมดาแล้วก็พบกันไม่ได้กับพุทธธรรม  ความเป็นอย่างนี้ได้เคยมีมาแล้วแม้แก่พระผู้มีพระภาคเอง  ตามข้อความในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งซึ่งเขียนไว้ว่า:-
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในขณะนั้น  ซึ่งเป็นการพบความจริงแล้ว,หรือถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ  การคลำพบตัวเองอย่างถูกต้องในที่นี้นั่นเอง;  ซึ่งก่อนหน้านี้พระองค์ก็ได้ทรงเที่ยวคว้าเที่ยวตะครุบเอาสิ่งต่าง ๆ  ขึ้นมาเป็นสิ่งที่มนุษย์รวมทั้งพระองค์ด้วยต้องการให้มีไว้สำหรับยึดถืออย่างนับไม่ถ้วนมาแล้วเหมือนกัน  ครั้นเมื่อแสงสว่างอันประเสริฐเกิดขึ้น  กล่าวคือพระองค์ได้ตรัสรู้ถึงพุทธธรรม  ความสงบสุขและโล่งโถงก็มีมาโดยไร้เจตนา.
เมื่อไม่รู้อะไรเป็นอะไรก็ไปตะครุบเอาสิ่งผิด ๆ
     ข้อความที่เป็นภาษาบาลีในตอนนี้  ก็คือบาลีว่า  อเนกชาติสํสารํ  สนฺธาวิสฺสํ  อนิพฺพิสํ,  คหการํ  คเวสนฺโต  ทุกฺขา  ชาติ  ปุนปฺปุนํ.  อันเราเคยได้ยินอยู่ทั่ว ๆ ไป  ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายสิบคนที่นั่งอยู่ที่นี้ก็ท่องได้  คำบาลีนี้ถ้าถอดเอาแต่ใจความแท้ ๆ  เป็นภาษาไทยก็มีว่า
"เราได้แต่มัวหลงเที่ยวแสวงหาผู้สร้างสิ่งที่เราต้องการ,  และเมื่อยังไม่ปรากฏความสว่างแจ่มแจ้งว่าอะไรเป็นอะไรนั้น  ต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ซึ่งมีการเกิดนับไม่ถ้วน  ทุก ๆเรื่องที่ไปจับฉวยคือทุก ๆ ชาติที่เกิด  เป็นความทุกข์เสมอ"  อันข้อความตอนนี้รวมความก็คือว่า  ได้เคยมีการตะครุบเอาผิดเพราะยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร.
     ครั้นต่อมาได้ทรงพบความจริงถึงความที่เคยผิดพลาดไปแล้วอย่างไร  และปล่อยเสียได้  จึงได้ทรงออกอุทานด้วยความปิติดังถ้อยคำข้างบนนั้น  ซึ่งบรรทัดต่อไปมีว่า  "เดี๋ยวนี้เราพบแกแล้ว  เจ้าคนนักก่อสร้างที่เราเคยคิดว่าจะช่วยสร้างสิ่งที่เราต้องการให้เราได้นั้น  บัดนี้เรารู้จักแกเสียแล้ว  แกจะสร้างบ้านเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป  เพราะเรารู้เสียแล้วว่าแกเป็นอะไร"  (คหการก  ทิฏโฐสิ  ปุน  เคหํ น กาหสิ). "เครื่องประกอบที่จะมาสร้างบ้านเรือนนี้  เราหักมันเสียหมดแล้ว, กระทั่งโครงยอดเรือนหลังคา  เราก็ได้ทำให้มันเป็นสิ่งที่จะนำมาใช้ไม่ได้อีกต่อไป".  (สพฺพา  เต  ผาสุกา  ภคฺคา  คหกูฏํ  วิสงฺขตํ).
      อันนี้แสดงให้เห็นว่า  พระองค์ได้ทรงคลำตัวตนพบอย่างถูกต้องถึงที่สุดแล้ว  และบรรทัดสุดท้ายก็คือ "จิตถึงแล้วซึ่งความเป็นสภาพที่อะไรจะหนุนไม่ขึ้นอีกต่อไป  คือปรุงแต่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกต่อไป  มันได้ขึ้นถึงภาวะแห่งความหมดสิ้นไปของตัณหา  เพราะฉะนั้นมันจึงถูกหนุนให้เป็นอะไรไม่ได้อีกต่อไป." (วิสงฺขารคตํ  จิตฺตํ, ตณฺหานํ  ขยมชฺญคา).  ข้อความนี้ทั้งหมดไม่สำคัญ  แต่ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า  ภายในพระหฤทัยของผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้นเป็นอย่างไร.
เมื่อรู้จักตนแล้ว  ภูเขาทั้งหลายก็พังทลายไปหมด
     พระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคในขณะนั้น  ก็คือเป็นความรู้สึกของบุคคลที่ได้  ทะลุกำแพงขวางของตัณหาและอุปาทานออกไปได้สิ้นเชิงแล้ว.  ตัวเองพบว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ตัวเองที่เคยมีความยึดถือว่า  เป็นตัวเราเอง  และต้องการอะไรต่าง ๆ  ในชั้นแรก  เราเองต้องการอย่างนั้นอย่างนี้  แล้วเที่ยววิ่งหาตน  หรือสิ่งที่จะทำให้ตนได้รับความพอใจอย่างนั้นอย่างนี้  อันทำให้เกิดเป็นวัฏฏสงสารขึ้นมา.  ครั้นบัดนี้ได้พบว่าตัวผู้ที่เที่ยววิ่งหานั้นไม่ใช่ตัวเองอย่างนี้แล้ว  จิตที่ขึ้นสูงถึงขั้นที่ไม่มีตัวเองนี้  จึงหมดความปรารถนาโดยทุกวิถีทาง.
       เมื่อรู้ว่าไม่มีตัวบุคคลผู้ปรารถนา,  ความสิ้นไปแห่งความปรารถนาก็เกิดขึ้นแก่จิตนั้น ชนิดที่บุคคลผู้ยังมีความปรารถนาย่อมไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้น.  ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่สามารถทะลุภูเขาแห่งความยึดถือว่าตัวตนออกไปได้นั่นเอง  จึงเห็นได้ว่า  การที่มีการยึดถือเป็นตัวตนขึ้นมา  เป็นตัวเราตัวเขา  ของเราของเขาก็ตาม  ย่อมเป็นที่จับฉวยติดแน่นของจิตอยู่ตลอดเวลา  และเป็นเครื่องกั้น  ซึ่งจะหนาหรือบาง  หยาบหรือละเอียด  ย่อมแล้วแต่ความหยาบหรือละเอียดของอาการที่ยึดถือหรือสิ่งที่ยึดถือ.
       การยึดถือพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ตามทัศนะของตัวเองดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น  ก็มี  มูลมาจากการยึดถือว่ามีตัวตน  ทำนองเดียวกับที่ยึดถือตัวตัวเองว่าเป็นสมุฏฐาน  เพราะฉะนั้น  จึงเห็นความว่างจากจากตัวตนในพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ไม่ได้;  เช่นเดียวกับที่เห็นความว่างจากตัวตนในตนเองไม่ได้นั้นเหมือนกัน.
       เมื่อความยึดถือว่าตัวตนเช่นนี้ยังเคลือบหุ้มอยู่เพียงใด  ก็ยังไม่อาจจะคลำพบตัวเองอย่างถูกต้องได้อยู่เพียงนั้น,  จึงยังมีความตัองการและมีการแล่นเป็นวงกลมคือมีวัฏฏสงสารซึ่งบรรจุเต็มไว้ด้วยความทุกข์  ความหนัก  ความมืด  ความปิดกั้น  ความผูกมัด  และอื่น ๆ ฯลฯ.
       พอทะลุภูเขาอันนี้ออกไปได้  ในขณะนั้นเท่านั้น  วัฏฏสงสารก็ขาดสะบั้นลงในขณะนั้น  ไม่ต้องรอจนกว่าจะตาย  ก็ได้พบกันกับความสงบชนิดที่พระองค์ทรงพึมพำกับพระองค์เองผู้เดียวมาแล้ว  ความรู้สึกอันนี้รุนแรงมากถึงกับทำให้พระผู้มีพระภาคเจ้าหลุดพระโอษฐ์พึมพำถึงรสชาติของการรอดจากเงื้อมมือของอุปาทานหรือความยึดถืออันเกี่ยวกับตัวตนอยู่พระองค์เดียว  ซึ่งตามพระคำภีร์กล่าวว่าได้ตรัสรู้พระพุทธอุทานวจนะอันนี้แก่พระสาวกในภายหลังจากที่พระองค์ได้ดื่มธรรมรสอันนี้อยู่เป็นเวลาหลายวัน.
ถอนอัตตาได้  เครื่องกั้นก็ถูกทำลาย
       จากเหตุการอันเกี่ยวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าดังกล่าวมานี้  เราจะเห็นได้ว่า  อาการที่จิตเข้าจับฉวยเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นตัวตนนั้น  มันกลายเป็นความถูกต้อง  หรือความจริงของบุคคลนั้น  ในขณะนั้นไปเสียแล้ว  และเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลา  มันจึงเป็นเครื่องกั้นขนาดภูเขา  ถ้าหากว่าถอนอัตตานุทิฏฐิอันนี้ออกเสียได้เมื่อไร  ภูเขาก็พังครืนลงมาเองพร้อมกัน  เพราะว่าเครื่องกั้นทั้งหลายเหล่านั้น  ทั้งที่เป็นอันเล็กอันใหญ่เนืองกันอยู่  ย่อมตั้งอยู่บนของสิ่งนี้คือ  บนอัตตานุทิฏฐิ  ความเห็นว่าเป็นตัวตน.
       แต่ว่าความยากลำบากของเรื่องนี้  มิได้อยู่ที่เทคนิคของการพังทลายภูเขา  มันกลับมายากลำบากอยู่ตรงที่เรากับมารักและนับถือภูเขาเสียเอง! ฉะนั้น  เราควรหันมาปรับทุกข์กันอย่างขนานใหญ่กันดีกว่า  เรามามองดูกันและกันในทางที่เป็นพุทธบริษัทคู่ทุกข์คู่ยากด้วยกัน  ด้วยความซื่อตรงต่อกัน  ไม่ต้องเกรงใจกันในการที่จะช่วยกันทักท้วงหรือแก้ไข.
       เราเห็นกันอยู่แล้วว่า  พวกเราทุกคนมีใจที่กำลังแนบสนิทกันอยู่กับสิ่งที่ตนยึดไว้  ว่าเป็นพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์,  กำลังอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์,  การศึกษาและการปฏิบัติธรรม  ก็ว่าอุทิศพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์,  แต่แล้วในที่สุด  ก็ไม่อาจรู้หรือพบว่า  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ที่แท้จริงนั้นคืออะไรอยู่ที่ไหน  เนื่องจากการอุทิศนั้นมันมีความเห็นแก่ตัว  หรือประโยชน์ของตัวเป็นมูลฐานสำคัญมาเสียตั้งแต่ต้น  ซึ่งถ้าปราศจากสิ่งนี้เสียแล้ว  ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครทำอะไรที่อุทิศพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์เลย.
       เมื่อเราไม่สามารถเข้าถึงภาวะอย่างที่พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ท่านเป็นกันอย่างนี้แล้ว  มันจะเป็นอย่างไรบ้าง  จะเป็นการขาดทุนหรือได้กำไร  หรือว่าเป็นทั้งสองอย่าง  ก็น่าจะลองนึกดูอย่างละเอียด.
       การลงทุนลงแรงของพวกพุทธบริษัท  ในการจัดการปริยัติวัดวาอาราม  ลงทุนปีหนึ่งนับล้านสำหรับสมัยนี้  ถ้าสามารถทำคนให้เข้าถึงความจริงของพุทธธรรมได้  ก็นับว่าได้ผลคุ้มกัน  เป็นอันรอดพ้นไป  แต่เมื่อมามองถึงภาวะที่ยังต้องถูกผูกพันกันอยู่กับความเท็จ  ความมืดมัว  ไม่สามารถถอนตัวเองออกไปจากความทุกข์ที่ท่วมทับได้นี้  นับว่าเป็นการเสียสละที่น่าเวทนาสงสาร  น่าเสียดายมากอยู่.
       จิตใจของเรารู้สึกว่าเข้าถึงและแนบแน่นกันอยู่ที่พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  แต่ครั้นมีผู้มาขอให้ชี้ให้ชัดเจนจริง ๆ  ว่าอะไรเป็นพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ซักหนักเข้าก็จำนน  อย่างมากที่สุดก็มีแต่พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ตามทัศนะของตัวเอง  การอุทิศก็เลยกลายเป็น  อุทิศแก่พระพุทธรูปทองเหลืองทองแดง  หรือรูปกายที่เดินไปมาอยู่ในประเทศอินเดียเมื่อสองพันปีมาแล้ว  หรือดวงเขียว ๆ แดง ๆ  ที่ตนสามารถอัญเชิญให้ลอยไปลอยมานั้นมากกว่าอย่างอื่น  ซึ่งที่แท้นั้น  ก็คือภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมนั่นเอง.
       เราจะมาพูดกันถึงพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ในลักษณะเช่นนี้กันอีกกี่สิบครั้ง  กี่ร้อยครั้ง  ก็คงจะเปล่าประโยชน์  เพราะไม่สามารถจะผ่านทะลุภูเขาไปได้เลย.  เรากำลังเข้าถึงพุทธธรรมไม่ได้ก็เพราะภูเขาเหล่านี้เอง  เราเปลี่ยนเรื่องขยับไปพิจารณากันถึงการเจาะทำลายภูเขาเหล่านั้นกันบ้าง  จะเป็นการปลอดภัยแก่การเสียสละของเรามากกว่า.
       เมื่อเป็นที่ยอมรับกันว่า พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ตามทัศนะของบุคคลผู้มีแต่ความยึดถือ  รวมทั้งตัวเอง  ซึ่งกำลังเป็นที่รวมของความยึดถือ  ล้วนแต่เป็นเครื่องกั้นชนิดภูเขาเหล่านี้แล้ว  ข้าพเจ้าขอวิงวอนเพื่อนพุทธบริษัททั้งหลายว่าจงจัดการกับพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ตามทัศนะของบุคคลผู้เต็มไปด้วยความยึดถือเอาแต่ความจริงของตัวเองนั้นเสียใหม่  รวมทั้งมองในสิ่งที่เราเรียกว่าตัวตนของเรานั้นเสียใหม่.
       บางคนมีความขลาด  ถึงกับว่า  ถ้าไม่มีตัวเราเองแล้วบุญจะเป็นของใคร  ลงทุนทำบุญเป็นก่ายเป็นกอง  จะเอาไปให้ใคร  หรือทิ้งเสียที่ไหน,เราจะต้องขาดทุน  เพราะไม่มีเราที่จะรับเอาส่วนบุญ  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถที่จะปัดตัวตนแห่งความยึดถือทิ้งออกไปได้  และผู้ที่คิดว่าเรานับถือพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ทั้งที  แล้วมาปรากฏว่าคว้าน้ำเหลว  ความคิดของเราเป็นหมันไปอย่างนี้  มิกลายเป็นเรื่องตลกไปหรือ  เมื่อเป็นเช่นนี้  ก็เป็นการยากที่จะเพิกถอนพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ที่ยึดถือไว้ตามทัศนะของเขา  แต่จะขืนยึดถือไว้อย่างไร  ก็ไม่พ้นไปจากการที่จะต้องเสียใจเพราะเข้าถึงพุทธธรรมไม่ได้ในภายหลัง  เพราะฉะนั้น  เราจะต้องมีความกล้าในการที่จะรวบรวมตัดตอน.
       ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวโดยไม่ขลาดกลัวใครจะว่าอย่างไรก็ตามว่า  ขอให้นึกถึงการที่หลุดพ้นออกไปได้มากกว่าที่จะนึกถึงพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ !  ข้าพเจ้าไม่นึกกลัวใครจะหาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ  สอนให้คนละทิ้งพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เพราะว่า  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ตามทัศนะของผู้ที่เต็มอัดไปด้วยอัตตานุทิฏฐินั้น  ดูมันมากเกินไปเสียแล้ว!  เหวี่ยงทิ้งกันบ้างเสียเถอะ...
                              อ่านตอนหน้านะครับ...
จะกล่าวถึงวิธีพังทลายเครื่องปิดกั้นทั้งหลาย...ขอบคุณครับ
























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น