ในทางธรรม หรือทางจิตใจก็อย่างเดียวกัน ถ้าความรู้หรือปัญญาเดิม ๆ มีอยู่อย่างไร นั่นก็คือแสงสว่างของคน ๆ นั้น ที่จะใช้ส่องลงไปยังโลกหรือชีวิตหรือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วเขาก็ยึดหลักความจริงของเขาไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง
โดยอนุโลมกันได้กับแสงสว่างของเขา ส่วนความจริงที่จริงไปกว่านั้น หรือนอกเหนือไปจากนั้นซึ่งเขายังไม่เห็นนั้น ก็คือส่วนที่ปัญญาเพียงขนาดนั้นของเขาบังไว้
ที่เรียกว่า "บัง" ในที่นี้ ก็เพราะว่าเขารู้สึกว่า เขาได้มองดูอย่างทั่วถึงหมดความสามารถของเขาแล้ว ไม่มีอะไรเหลือซ่อนเร้นอยู่ เขารู้สึกอย่างนี้จริง ๆ เขาจึงยึดถือเอาสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นความจริงอันเด็ดขาด
ความสำคัญผิดด้วยอำนาจความยึดถือในตัวเอง เช่นนี้เราเรียกว่าเป็นภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมของเขา และเป็นไปอย่างผิดกับขั้นที่แล้ว ๆ มา คือเป็นไปอย่างไม่น่าจะ เป็นไปได้ เพราะเป็นการ "บัง" ของแสงสว่างเสียเอง ถึงแม้ในวงของพวกพุทธบริษัทที่เป็นนักศึกษาและเรืองปัญญา ก็ยังตกอยู่ในวิสัยที่อาจจะถูกครอบงำด้วยเครื่องบังทำนองนี้ของตนเอง
นักศึกษาคนหนึ่ง ๆ ย่อมมีการสดับตรับฟัง การศึกษาความรู้และปัญญาขนาดหนึ่ง ๆ เป็นของตนเอง เมื่อต้องมาตีความของพุทธวจนะประโยคหนึ่งประโยคเดียวกัน ก็มักจะตีความได้แตกต่างกันตามความเหลื่อมล้ำแห่งแสงสว่างหรือปัญญาของตน. หรือเมื่อจะต้องขบคิดข้อความที่ยาก ๆ เช่น เรื่องอนัตตา เป็นต้น ย่อมขบคิดไปได้แตกต่างกัน ไม่มากก็น้อย
ความจริงที่ทลายภูเขาไม่ได้ ตัวเองก็เป็นหลักตออยู่ในวัฏฏะ
ในขณะที่ยังไม่ถึงที่สุด ตนก็ย่อมจะยึดถือเอาส่วนที่ตนคิดได้แจ่มแจ้งด้วยตนเองว่าเป็นความอันเด็ดขาดของตน ด้วยอำนาจความยึดมั่นในความคิดและความเห็นแจ้งของตัวเอง ความยึดมั่นอันนี้คือภูเขาที่ขวางอยู่ในวิถีทางแห่งการเข้าถึงพุทธรรมของนักศึกษาคนนั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องพยายามพังทลายต่อไปอย่างไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่น ตลอดเวลาที่เขายังไม่รู้สึกหรือพังทลายมันไม่ได้ เขาก็เป็น "หลักตอในวัฏฏะ" ปักตึงแน่นอยู่ตราบนั้น
ทั้งหมดนี้ เราจะเห็นได้ว่า ภายในนามแห่งพระธรรมก็อาจมีภูเขางอกออกมาจากความยึดถือในตัวพระธรรมเอง เช่นยึดถือเป็นดวง เป็นแสง เป็นบ้าน เป็นเมือง หรือยึดถือทางวัตถุอย่างความคิดเด็ก ๆ ถือเอามัดพระคัมภีร์เป็นพระธรรม เป็นต้น หรืองอกออกมาจากความยึดถือในวิธีปฏิบัติ อันจะให้เข้าถึงตัวพระธรรมหรือพุทธรรม อันได้แก่ความยึดถือในศีล สมาธิ ปัญญา แต่ละอย่าง ๆ จนเกิดเป็นการลงหลักปักแน่นอยู่ ณ ที่นั้น แทนที่จะถือว่าธรรมปฏิบัติเหล่านั้น เป็นเพียงเสมือนเรือแพหรือยานพาหนะ ที่จะได้อาศัยข้ามไปสู่ความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ก็กลับมาถูกยึดให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือตัวบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ไปเสีย ทั้งที่ตนได้ใช้ความพยายามและเสียสละอย่างเต็มที่ ก็ยังทำให้เกิดความเนิ่นช้า เนื่องด้วยเครื่องกีดขวางอันแน่นหนามหึมาเหล่านี้นี่เอง
พระสงฆ์ของบุคคลผู้นั้นก็เป็นภูเขาได้
ทีนี้ก็มาถึง พระสงฆ์ ซึ่งถ้าเราพิจารณาดูให้ถี่ถ้วน ก็พอจะมองเห็นได้เหมือนกันว่า ถ้าเกิดมีความยึดมั่นสำคัญผิดแล้ว "พระสงฆ์ของบุคคลผู้นั้น" ก็จะเกิดเป็นภูเขาขวางทางของเขาได้ อย่างไม่น้อยกว่าพระพุทธ พระธรรม เหมือนกัน
จิตของบุคคลบางคน ที่นับถือพระสงฆ์ ไปยึดถือที่ผ้าเหลืองก็มี ที่แบบวิธีของการบวชก็มี ที่กริยาท่าทางอันเคร่งครัดตลอดจนกำเนิดชาติตระกูลของผู้ที่บวชนั้นก็มี
ในมี่บางแห่งนับถือพระสงฆ์อย่างผู้วิเศษ สำหรับผู้ขับไล่เสนียดจัญไร หรืเป็นอาจารย์ผู้นำในเรื่องของขลัง อีกทางหนึ่งนับถือในฐานะเป็นสื่อ หรือตัวแทนของสวรรค์หรือโลกหน้า หรือถึงกับถือว่า ถ้าไม่ได้บวชสักนิดหนึ่ง ก็ไม่ใช่ญาติของพระศาสนา ดั่งนี้เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่ทำให้หยุดชงักอยู่ที่ระดับนั้น ไม่มีความเห็นอย่างแจ่มแจ้งรู้จักพระสงฆ์ตามที่เป็นจริง กล่าวคือเห็นแจ้งพุทธรรม อันเป็นธรรมะที่ทำคนให้เป็นพระสงฆ์ หรือเป็นหัวใจของพระสงฆ์
ความที่ตนยึดมั่นว่าตัวรู้จักพระสงฆ์ แล้วยึดถึอพระสงฆ์ในรูปนั้นในลักษณะอย่างนั้น ย่อมเป็นเครื่องปิดกั้นทางดำเนินไปสู่ภูมิธรรมชั้นสูงสุดของตนได้ ขนาดภูเขาขวางหน้าทีเดียว และตามที่มันเป็นอยู่จริง ๆ ในวงพวกพุทธบริษัทเรา ใครก็ต้องยอมรับว่า ลักษณะดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ล้วนแต่มีอยู่จริง ๆ อย่างครบถ้วนในวงพุทธบริษัทแม้เพียงในประเทศไทยเรา ไม่ต้องกล่าวถึงพุทธบริษัทในต่างประเทศ และมีได้ตั้งแต่ชั้นที่มีการศึกษาน้อยขึ้นไปจนถึงชั้นที่มีการศึกษามาก หรือเลยขึ้นไปจนถึงชั้นพระอริยเจ้าชั้นต้น ๆ ที่ยังมีอุปาทานบางอย่าง ที่ยังตัดไม่ๆด้ในขณะนั้น
ข้อนี้เมื่อสรุปความแล้วก็คือว่า อัตตวานุปาทานหรือความยึดมั่นด้วยวาทะว่า ตัวตนนั้นแหละเป็นมูลฐานของสิ่งที่ปิดกั้นปานประหนึ่งภูเขาเหล่านั้น
ความยึดมั่นว่ามีตัวตนเป็นเครื่องบังอย่างยิ่ง
ความยึดมั่นว่ามีตัวตน ว่าตัวตนเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นเครื่องบังอันหนาแน่นยิ่งกว่าเครื่องบังทั้งหลาย ถ้าจะเปรียบกับวัตถุก็อย่างกับภูเขาหิมาลัยเลยทีเดียว ซึ่งเป็นกำแพงใหญ่สามารถบังคนในประเทศอินเดีย ให้ไม่รู้ว่าทางประเทศไซบีเรียก็มีคนอยู่ หรือถึงกับเข้าใจว่าแผ่นดินผืนนี้ของตนไปสิ้นสุดลงเพียงที่ภูเขาอันสูงนั้น และสูงเลยขึ้นไปในเมืองฟ้าเมืองสวรรค์
ความยึดถึอว่ามีตัว เป็นตัวตนเป็นตน แล้วเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นั้น ย่อมแตกแขนงไปได้เป็นหลายสาย ล้วนแต่มีสิ่งแวดล้อมเข้าประคับประคองเป็นเหตุผลในทำนองที่จะให้มีตัวมีตนเสียร่ำไป. ความว่างจากตัวตน จึงเป็นสิ่งที่ถูกปิดบังหรือกลบฝังเสียอย่างมิดชิด. เมื่อเขาถือเสียว่าความว่างจากตัวตนนั้นไม่มี ก็ย่อมจะถือต่อไปว่า บุคคลที่จะเข้าถึงความว่างจากตัวตนย่อมมีขึ้นไม่ได้.
คำว่าพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ซึ่งความจริงเล็งถึงบุคคลผู้เข้าถึงความว่างจากตัวตนแล้ว ก็ย่อมถูกเพ่งเล็งไปในแง่อื่น ประการอื่น. แม้ว่าเขาจะรักหรือนับถือในพระพุทธเจ้าสักเพียงใด ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเห็นว่าท่านได้เข้าถึงความว่างจากตัวตน. เพราะเหตุนี้เอง พระพุทธเจ้าก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม ตามทัศนะของบุคคลประเภทนี้ จึงมีอยู่โโยประการอื่น ซึ่งต่างไปจากทัศนะของบุคคลผู้เข้าถึงความว่างจากตัวตน. และพระธรรมขั้นสูงสุดที่ทำให้คนเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์นั้นเล่า ก็หาใช่ภาวะแห่งความว่างจากตัวตนไม่. ทั้งนี้ ก็เพราะมีความยึดถือในตัวตนจนแน่นแฟ้นเป็นต้นเหตุ
พิจารณาถึงตัวผู้ถูกปิดกั้น.
เมื่อพิจารณากันถึงความยึดถือโดยประการต่าง ๆ ในฐานะเป็นเครื่องกันขนาดภูเขามาพอเป็นที่เขาใจกันได้แล้ว ก็จะได้พิจารณากันถึงคนเรา หรือ ตัวผู้ถูกปิดกั้น ต่อไป.
พวกเราในปัจจุบันนี้ แม้ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ เราก็นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กันทั้งนั้น เรามีตัวเราเป็นผู้นับถือ และที่นับถือก็เพื่อประโยชน์ของตัวเรานั่นเอง. เราต้องการจะให้ตัวเรานี้อาศัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อการลุถึงนิพพาน. เมื่อเป็นดังนี้แล้วเรื่องมันจะเป็นอย่างไรกัน ในเมื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และตัวเรา ตามทัศนะของเรา ล้วนแต่เป็นกำแพงบังพระนิพพานเสียเองดังนี้ ?
ถ้าหากจะถือว่าถ้อยคำที่กล่าวขึ้นเช่นนี้เป็นการกล่าวอย่างกันเอง อย่างมิตรสหาย ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระพุทธเจ้าร่วมกันแล้ว ก็ควรจะเกิดความเห็นอกเห็นใจกัน และยึดถือว่าเป็นถ้อยคำปรับทุกข์กัน แทนที่จะเห็นไปว่าเป็นถ้อยคำด่าทอเสียดสี.
ควรหาวิธีขจัดเครื่องกั้นเสียโดยเร็ว
ข้อที่เราจะต้องปรับทุกข์ต่อกันนั้นมีอยู่ว่า เราประกาศตัวเองในฐานะเป็นผู้แผ้วถางทางไปนิพพาน แล้วมาตกอยู่ในระหว่างเครื่องกีดกั้นห่อหุ้มแน่นหนาชนิดที่น่าเวทนาสงสาร ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าเช่นนี้ เราควรจะพร้อมใจกันทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนเด็ดขาด เมื่อเห็ฯว่าเวลามีเหลืออยู่น้อย โดยที่ความตายเข้าใกล้มาแล้ว ก็ควรจะหาวิธีด่วน ๆ ที่จะช่วยกันขจัดปัดเป่าอันตรายอันร้ายกาจนี้ ให้หมดสิ้นไปโดยเร็วให้ทันแก่เวลา
เพราะว่าถ้าเรายังคงสมาทานแต่เพียงวาจาว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ. ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ. สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ. ที่ไม่มีความหมายอันลึกซึ้งใดเลยอยู่เช่นนี้แล้ว มันก็มีแต่จะเป็นการเสริมกำแพงเครื่องกั้นให้หนามากขึ้นทุกที มากกว่าที่จะค่อยบางเข้า ยิ่งทำไปจนตลอดชีวิต ก็ยิ่งหนาขึ้นตามอายุที่ค่อยมากขึ้นเท่าไร ยิ่งทำไปหลายชีวิตหลายชาติ ก็ยังยิ่งหนามากขึ้นอยู่นั่นเอง กว่าจะบางได้เมื่อไรนั้น ในบัดนี้ยังมองไม่เห็นวี่แวว.
ด้วยเหตุฉะนี้เอง ถ้าหากจะมีการกระตุกกระชากกลับที่รุนแรงไปสักหน่อย ก็ควรจะถือว่าเป็นความจำเป็นของความต้องการในคำสอนหรือลัทธิ ที่เป็นการรีบด่วนให้ทันแก่เวลา ซึ่งเป็นความฉลาดของพุทธบริษัทเอง.
ถ้าหากว่าจะรอเพื่อศึกษาปริยัติให้จบพระไตรปิฎก หรือจะสมาทานศีล บำเพ็ญสมาธิ เจริญปัญญา ให้ครบทุกชนิดที่มีสอนกันไว้ อย่างนี้ก็เป็นการเหลือวิสัยที่ทุกคนจะทำได้ชาติหนึ่งหรือถึงสิบชาติ ฉะนั้น ควรจะเพ่งเล็งไปยังปัญหาเฉพาะหน้าเท่าที่จำเป็น เพื่อได้ออกไปให้พ้นโดยเร็วจะเป็นการฉลาดกว่า โดยอาศัยหลักที่ว่า ถ้าออกไปจากทุกได้แล้วมันก็ถึงที่ที่เราประสงค์ ซึ่งเป็นความมุ่งหมายของศีล สมาธิ ปัญญา หรือความมุ่งหมายของการนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของพวกเรา หรือจะเรียกว่า เราเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียเองก็เรียกได้.
ความสำคัญในเรื่องนี้จึงอยู่ที่การออกไปได้ หรือลุถึงความพ้นทุกข์เด็ดขาด ไม่ได้อยู่ที่การเรียนจบพระไตรปิฎก หรือทำอะไรได้มาก ๆ แปลก ๆ อย่างวิตถารพิสดาร จุดที่มุ่งหมายของเรามีเพียงความพ้นทุกข์สิ้นเชิง จะมีมาได้โดยอาการอย่างไรก็ตาม เรียกว่ามีผลเท่ากัน ส่วนที่มากออกไปกว่าการพ้นทุกข์หรือนิพพานนั้นเราไม่เอา คือเกินความจำเป็น ทำให้เนิ่นช้า เราเอาเพียงเท่าที่จำเป็น และตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์สำหรับพวกเรา.
สำหรับ หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพุทธธรรม หรือความพ้นทุกข์เด็ดขาด มีอยู่อย่างไรนั้น ขอให้ย้อนรำลึกไปถึงปาฐกถา ๔-๕ ครั้ง ที่ข้าพเจ้าเคยแสดงแล้วที่พุทธสมาคมนี้แต่หนหลัง ในวันนี้เราจะพิจารณากันเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องกีดกั้นปิดบัง เป็นส่วนใหญ่ เราจะจัดการกับเครื่องกีดขวางอันเร้นลับ กล่าวคือตัวเองบังตัวเองนี้อย่างไรนั้น เราจะต้องถือเอาบุคคลตัวอย่างคือพุทธเจ้าให้ถูกตรงตามความหมาย...
(ต่อตอนหน้านะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น